วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

บางแก้ว

เป็นสุนัขสายพันธุ์ไทย มีถิ่นกำเนิดที่บ้านบางแก้ว อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และเชื่อว่าเกิดจากการผสมกันระหว่างสุนัขไทยกับสุนัขจิ้งจอก หลังจากนั้นในรุ่นลูกมีการผสมกับกลุ่มเครือญาติหลายชั่วอายุจนได้พันธุ์แท้ คือ บางแก้วในปัจจุบัน

ลักษณะทั่วไป

เป็นสุนัขขนาดกลาง หูตั้งตรง ขนยาวเหยียดตรงหนา และปุย ใบหน้าจะสั้น แต่ปากแหลมยาวคล้ายปากสุนัขจิ้งจอก สง่างาม เวลายืนมีขาหน้าใหญ่กว่าขาหลัง นัยน์ตาเล็กกลมสีเหลืองทองคล้ำ ส่วนของหางจะเป็นพวงแต่มีบางตัวไม่เป็นพวง สำหรับลักษณะของใบหน้าแบ่งเป็น 3 แบบ คือ

หน้าเสือ คือ มีกระโหลกใหญ่ ใบหูเล็ก แววตาดุร้าย มีขนที่คอแต่ไม่รอบคอ และไม่มีเคราใต้คาง หางมีทั้งเป็นพวงและไม่เป็นพวง ส่วนขนมีทั้งฟูและไม่ฟู
หน้าสิงห์โต คือ มีขนแผงคอใหญ่รอบคอ มีเครายาวใต้คาง กระโหลกใหญ่ ใบหูเล็กและตั้งตรง ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก แววตาปกติจะเซื่องซึม แต่จะดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวเมื่อเจอคนแปลกหน้า หางเป็นพวง จัดเป็นสุนัขที่หายากและมีราคาแพง
หน้าจิ้งจอก คือ ใบหน้าแหลม ใบหูใหญ่กว่าสองชนิดแรก หางเป็นพวง นิสัยไม่ค่อยดุร้าย

นิสัย


บางแก้ว เป็นสุนัขที่มีนิสัยค่อนข้างดุ แต่มีความซื่อสัตย์และหวงเจ้าของมากเป็นพิเศษ ไม่ชอบคนแปลกหน้า มีความสามารถในการดมกลิ่นและจำเสียงเป็นเลิศ ตื่นตัวตลอดเวลา กล้าหาญ กินอาหารง่าย ชอบเล่นน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นสุนัขที่หวงสิ่งของในบ้าน หากคนภายนอกบ้านแตะต้องจะกัดทันทีและกัดไม่ปล่อย

มาตรฐานพันธุ์


ขนาด เพศผู้ เพศเมีย
ความสูง (เซนติเมตร) 42 - 53 39 - 49
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 17 - 20

ขน

ลักษณะขนเป็นขนยาวสองชั้นและหนา ชั้นนอกจะเหยียดยาวและฟู ส่วนขนชั้นในจะนิ่มละเอียด และมีขนยาวที่แผงคอ

สี

มีสีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

สีเดียว เช่น ขาว, ดำ, น้ำตาล, เทา และนาก
สีประ หรือสีผสม เช่น ขาว – ดำ, ขาว – น้ำตาล, ขาว – นาก และเทาน้ำตาล
สีที่นิยม คือ ขาว, ขาว – น้ำตาล, ขาว – ดำ, ดำ และ ลายเสือ

หลักเกณฑ์การให้คะแนนในการประกวดสุนัขไทยหลังอาน

ปาก 20 คะแนน
หู 20 คะแนน
กระโหลกหัว 10 คะแนน
หาง 20 คะแนน
ขน 10 คะแนน
รูปร่าง 10 คะแนน
ความสมบูรณ์ของร่างกาย 10 คะแนน
รวม 100 คะแนน


การเลือกซื้อลูกสุนัขบางแก้ว 

ข้อคิดในการเลือกซื้อสุนัขบางแก้ว - สุนัขบางแก้วเป็นสุนัขพื้นบ้านที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี โดยธรรมชาติของสุนัขบางแก้วแล้ว มีความรักเจ้าของ และสวยงามคล้ายสุนัขพันธุ์ต่างประเทศที่มีขนยาวสวยงาม หางเป็นพวง และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่ควรอนุรักษ์ไว้ แต่ว่าสุนัขบางแก้วมีข้อเสียเรื่องความดุ และบางครั้งอาจจะก้าวร้าวอาจมีปัญหาเรื่องพฤติกรรม อารมณ์ ฉะนั้นสุนัขบางแก้วควรได้รับการเลี้ยงดูและการฝึกให้อยู่ร่วมกับคนในสังคมอย่างถูกต้อง

โดยสามารถเริ่มฝึกให้สุนัขมีการเรียนรู้พร้อมๆ กับการเลี้ยงดูได้ตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข เพื่อให้สุนัขมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้าของและสุนัข เพื่อให้เกิดการยอมรับและการไว้ใจ สามารถเข้าสังคมได้ดี เรื่องของพฤติกรรมและอารมณ์ของสุนัขจะดุหรือก้าวร้าวนั้นมีสาเหตุหลักประกอบด้วยสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือ พันธุกรรม และส่วนที่สองคือการเรียนรู้(การฝึก) 

ดังนั้นก่อนการตัดสินใจในการเลี้ยง ผู้เลี้ยงควรพิจารณาดังนี้ 

1. พันธุกรรม
เนื่องจากพันธุกรรมและอารมณ์ของสุนัขเมื่อโตเต็มที่นั้น ส่วนหนึ่งถ่ายทอดทางสายเลือด ดังนั้นก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อลุกสุนัขนั้นควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้ลูกสุนัขที่ปราศจากข้อบกพร่องที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด เพราะว่าข้อบกพร่องเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรม และอารมณ์ของสุนัขอย่างมากในอนาคตเพราะสุนัขที่ถ่ายทอดสายเลือดไม่ดีอาจจะเป็นผลให้เกิดความพิการในจุดที่มองเห็น และมองไม่เห็นยังเป็นผลทำให้สุนัขต้องทนทุกข์ทรมานในความ
เจ็บปวดเป็นเวลานาน และเป็นสาเหตุให้สุนัขมีสุขภาพจิตไม่ดี มีพฤติกรรมออกมาทางในสิ่งที่เราไม่ต้องการ เช่น ก้าวร้าว ดุ หรือสุนัขกัดเจ้าของได้

สำหรับหลักในการพิจารณาลักษณะที่ดีของสุนัขบางแก้วที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อ มี ดังนี้ 

1. เลือกหูเล็กกว่าทุกตัวในครอกเดียวกัน ถ้าในกรณีที่ดูไม่ออกว่าเล็กกว่ากันหรือไม่คงต้องดูว่าคุณชอบตัวไหนมากกว่าเพราะสุนัขขณะที่ยังเล็กก็ดูเล็กไปหมดทุกส่วน

2. กะโหลกศีรษะใหญ่ กระหม่อมแบนราบ หน้าผากโหนก ลักษณะนี้สุนัขบางแก้วไม่ได้มีทุกตัว เพราะเนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับเชื้อสาย พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ด้วย แต่ถ้าในกรณีที่มีโอกาสเลือกจากหลายครอก ก็เลือกจากครอกที่มีกะโหลกศีรษะใหญ่ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สุนัขที่มีกะโหลกศีรษะเล็กจะเป็นข้อด้อยเพราะอย่างที่บอกว่าสุนัขไม่ได้มีกะโหลกใหญ่ทุกตัว และส่วนมากสุนัขที่มีกะโหลกใหญ่ หูของมันจะตั้งขึ้นช้ากว่าสุนัขที่มีกะโหลกเล็กกว่า เพราะ
ฉะนั้นไม่ต้องตกใจ ถ้าท่านซื้อสุนัขไป 2 ตัวพร้อมกันแล้วอีกตัวหูยังไม่ตั้งต้องให้เวลาหน่อย เว้นแต่ว่าท่านโดนหลอกขายสุนัขพันธุ์อื่นแทนบางแก้ว

3. โคนหางอวบใหญ่ หางใหญ่ยาวโน้มกลางหลังในลักษณะกำลังงามไม่มากเกินไป ไม่ไพล่หลัง หางไม่ขอด ไม่ม้วน

4. ขนเส้นยาวนุ่ม ในกรณีที่ท่านเลือกซื้อตอนสุนัขยังเล็ก อย่างไรแล้วขนก็นุ่มเพราะยังไม่มีการถ่ายขน เพราะปกติสุนัขบางแก้วมีขนสองชั้น ชั้นในนุ่ม ชั้นนอกจะหยาบกว่า แต่อย่างไรก็ยังสัมผัสได้ว่านุ่มกว่าสุนัขพันธุ์ทั่วไปแน่นอน

5. สีด่างได้ลักษณะ สิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สุนัขบางแก้วนั้นแตกต่างจากสุนัขพันธุ์ ต่างประเทศ เพราะสุนัขพันธุ์ต่างประเทศ ถ้าเป็นสีไหนก็จะเป็นสีนั้นไปทั้งตัวอาจจะมีอ่อน เข้มต่างกันเท่านั้นแต่สุนัขบางแก้ว นอกจากจะมีสีต่างกันแล้ว เช่น ขาว-เทา ขาว- น้ำตาล ขาว-ดำ ยังมีข้อแตกต่างอีกว่าในแต่ละตัวจะมีแต้ม จะมีด่างตรงไหนบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าตัวใดจะมีลักษณะสวยงามอย่างไร อย่างเช่น บางตัวอาจแบ่งสีได้อย่างชัดเจนว่ามี 3 ส่วน คือ ส่วนหัว กลาง ท้าย บางตัวก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น แล้วแต่ว่าจะชอบแบบไหน หรือบางทีสีด่างอยู่ที่ตำแหน่งอื่นแต่ก็สวยไม่แพ้กันก็มี

6. หน้าแด่น หรือแบ่งเป็นเส้นจากปลายปากถึงกะโหลกศีรษะ ถ้ามีน้อยไม่ยาวมากเรียกว่า แด่น แต่ถ้าเส้นยาวมีมากและแยกส่วนศีรษะออกเป็นสองส่วนเรียกว่า แบ่ง คุณลักษณะนี้เป็นลักษณะที่ถ้าสุนัขมีก็ตรงตามลักษณะที่สวยงามตามเกณฑ์ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได ้หมายความว่าไม่ใช่สุนัขบางแก้ว เพราะสุนัขบางตัวก็มีลักษณะเด่นอย่างอื่นแทนลักษณะที่ด้อยของตัวมันเองก็ได้

7. ปลายปากแหลมเล็ก ถ้าปลายปากขาวเป็นวงรอบปลายปาก เรียกว่า ปากคาบแก้ว

8. จมูกดำ ลูกนัยน์ตาเล็กมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม

9. ขาใหญ่ ลักษณะที่ดี ขาหน้าจะต้องใหญ่กว่าขาหลัง

10. รูปร่างสวยงามเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งท่านสามารถศึกษาดูได้จากมาตรฐานพันธุ์ว่ารูป
สี่เหลี่ยมดูจากส่วนใดของสุนัข

11. มีสุขภาพดี ร่าเริง ไม่อยู่นิ่ง

ทั้งนี้ ทั้งนั้นในการเลือกซื้อแต่ละครั้งคงไม่จำเป็นว่าท่านจะต้องได้สุนัขที่มีลักษณะเด่นถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง เพราะบางครั้งขึ้นอยู่กับความพอใจว่าชอบตัวไหน จุดประสงค์ในการซื้อว่าท่านจะนำไปประกวดหรือไม่ หรือเพียงเพื่อนำไปเลี้ยงเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์คอยเฝ้าบ้าน หรือเป็นเพื่อนเล่นแก้เหงา และอีกอย่างขึ้นอยู่กับงบประมาณของท่านเองด้วยว่า พอที่จะซื้อในราคาแบบใด เพราะในแต่ละตัวมีลักษณะที่เด่น และด้อยต่างกัน ทำให้ราคาก็ต่าง
กันด้วย

ชิวาวา


Chihuahau สุนัขพันธุ์นี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 มีถิ่นกำเนิดในดินแดนที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบันในการค้นพบทวีปอเมริกาของ CHRISTOPHER COLUMBUS ก็มีบันทึกการค้นพบสุนัขพันธุ์ชิวาวานี้ด้วย จากตำนานกล่าวว่าชาวพื้นเมืองนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิวาวามาก และเกิดความเชื่อถือในเรื่องโชคลางต่างๆ ตลอดจนมีการนำสุนัขพันธุ์นี้ไปใช้ในพิธีบูชายันต์ มีผู้พบภาพสลักของสุนัขพันธุ์ตามก้อนหินต่างๆ และในถ้ำสุนัขพันธุ์ชิวาวามี 2 ชนิด คือ ชนิดขนสั้นและชนิดขนยาว


มาตราฐานสายพันธุ์ 

อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ

ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะกลม แก้มค่อนข้างเล็ก

หู : มีขนาดใหญ่ ใบหูตั้งพันธุ์ขนยาว บริเวณหูจะมีขนยาว

ตา : มีลักษณะกลมโต

ปาก : มีขนาดค่อนข้างเล็ก

จมูก : ค่อนข้างส้น มีหลายสีขึ้นอยู่กับสีของขน

ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบกรรไกร

ลำตัว : ความยาวของลำตัวมีขนาดยาวกว่าความสูงเส้นหลัง ตรงอยู่ในแนวระดับ

คอ : มีลักษณะกลม หัวไหล่เล็ก ชนิดขนยาวบริเวณจะมีขนมาก

อก : ค่อนข้างกว้าง

ขาหลัง : มีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าหลังแข็งแรง ขาหลังอยู่ห่างกันพอเหมาะมองจากด้านหลัง ขาหลังตรงไม่บิด เท้ามีขนาดเล็ก นิ้วเท้าชิดเล็บค่อนข้างยาว

หาง : มีขนาดค่อนข้างยาว ลักษณะโค้งคล้ายเคียว อาจจะม้วนหางยกสูง

ขน-สี : ชนิดขนสั้นขนค่อนข้างนุ่มและสั้นทั่วทั้งตัว ชนิดขนยาวบริเวณหู อก ลำตัว ขา มีขนยาว สีมีหลายสี เป็นสีเดียวทั่วตัว แต่อาจจะมีสีจางบางส่วนได้

ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กมาก

น้ำหนัก : มีน้ำหนักไม่เกิน 6 ปอนด์

การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม

ข้อบกพร่อง : หางตัด หูตก น้ำหนักเกิน 6 ปอนด์

แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

แจ็ค รัสเซลล์ได้มีการเพาะพันธุ์สายพันธุ์ขึ้นมาใหม่เมื่อต้นปี ค.ศ. 1800 ในประเทศอังกฤษโดยศาสนจารย์ Jack Russell ซึ่งภายหลังสุนัขพันธุ์ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า Jack Russell Terrier (JRT) ตามชื่อของท่านศาสนจารย์ นอกจาก Jack Russell Terrier จะมีชื่อตามศาสนจารย์ที่เรียกกันแล้ว ก็ยังมีบางครั้งที่คนมักเรียกก็คือ PARSON JACK RUSSELL

โดยทั่วไปแล้วสุนัขสายพันธุ์กลุ่ม TERRIER จะใช้ในการล่าสัตว์และติดตามเหยื่อไปหลังจากที่เหลือ โดยสุนัขในกลุ่ม HOUND ไล่ต้อนมาก่อนหน้านี้แล้ว

สายพันธุ์ของ Jack Russell Terrier ในอเมริกาและอังกฤษ ขนาดของสุนัขจะอยู่ที่ 10-15 นิ้ว แต่ในออสเตรเลีย Jack Russell Terrier จะถูกแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์คือ Jack Russell จะมีขนาด 10-12 นิ้ว PARSON JACK RUSSELL ขนาด 12-14 นิ้ว ลักษณะขนของ Jack Russell Terrier มีด้วยกัน 3 แบบ คือ ขนสั้น ขนหัก และขนยาว ขนหักและขนยาวจะค่อนข้างหยาบเมื่อเทียบกับขนสั้น แต่ขนสั้นก็ไม่ควรจะอ่อนนุ่มและเป็นมันจนเกินไป เนื่องจากขนเหล่านี้ช่วยปกป้องสุนัขในเวลาที่ออกไปล่าสัตว์

ขน ขนควรจะมีสีขาวตั้งแต่ 51% หรือมากกว่าขึ้นไปในร่างกาย และมี MARKINGS เป็นสีน้ำตาลหรือดำ หรือทั้งน้ำตาลและดำ ซึ่งเรียกว่า TRI COLOURED MARKING ของสุนัขพันธุ์นี้ส่วนใหญ่จะพบที่บนใบหน้า รอบตา หู ที่ก้นถึงหางและเล็กน้อยบนลำตัว

ลักษณะทั่วไป ในการเลือก Jack Russell Terrier คือควรจะมีกะโหลกโต หูต้องเป็นรูปตัว V และตกไปทางด้านหน้า จมูกและริมฝีปากต้องมีสีดำ ตาควรเป็นสีน้ำตาลเข้มรูปถั่วอัลมอนด์ แฝงด้วยแววตาขี้เล่นและขี้สงสัย ขาต้องตรงและมีกล้ามเนื้อที่ต้นขา หางต้องสั้นและชี้ขึ้น

ผู้ที่ต้องการเลี้ยง Jack Russell Terrier ควรมีคุณสมบัติดังนี้ 

1. Jack Russell Terrier เป็นสุนัขตื่นตัวตลอดเวลา มันควรได้รับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในความควบคุมดูแลและควรได้รับการฝึกสอนจากเจ้าของหรือฝึก
2. Jack Russell Terrier เป็นสุนัขที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลและเวลาจากเจ้าของอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมและขี้เล่น
3. ผู้เลี้ยง Jack Russell Terrier ควรจัดระบบการเลี้ยงให้ถูกต้อง เช่นต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะ สามารถกระโดดได้สูงมาก รวมถึงปีนป่าย แม้กระทั่งขุดรูเพื่อหนีเที่ยวถ้ามันรู้สึกเบื่อหรืออยากหาอะไรสนุกตื่นเต้นทำ
4. เพื่อความปลอดภัยของสุนัข ผู้เลี้ยง Jack Russell Terrier ควรจะใช้สายจูงตลอดเวลาที่พาไปเดินเล่น เนื่องจาก Jack Russell Terrier เป็นสุนัขที่มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูงมาก

อเมริกัน ค็อกเกอร์

ลักษณะท่าทางโดยทั่วไป เป็นสุนัขขนาดกลาง มีอุปนิสัยร่าเริง แจ่มใสตลอดเวลา

มาตราฐานสายพันธุ์ 
ศีรษะ : กะโหลกกว้างเล็กน้อย มีความสมส่วนกับขากรรไกร
ขากรรไกร : มีความสมส่วนกับกะโหลกจากกะโหลกมาถึงขากรรไกร มีจุดตก (STOP) อย่างเห็นได้
ฟัน : เรียงกันเป็นระเบียบ ขบกันแบบขากรรไกร ขาว และไม่เล็กจนเกินไป
จมูก : มีความสมดุลกับขากรรไกร แต่จะต้องมีสีดำ
ตา : ตากลม ดวงตามีสีน้ำตาลเข้ม มีแววตาสดใส
หู : หูยาวและกลม ตำแหน่งของหูอยู่ระดับเดียวกับตา ความยาวของหูต้องถึงปลายจมูก มีขนขึ้นปกคลุม
คอและไหล่ : คอมีความยาวสมส่วนกับลำตัว และคอต้องตั้ง ยามเคลื่อนไหวเส้นหลังลาดลงมาจากหัวไหล่
ลำตัว : มีความกระชับ
หาง : ตำแหน่งของหางอยู่เหนือบั้นท้าย และตัดออกให้สมส่วน และชี้ไปทางด้านหลัง
ขาและเท้า : มีขนขึ้นปกคลุมที่ขาและเท้า ขาตรง นิ้วเท้ากำแน่น มีความแข็งแรง
ขน : ขนที่หัวและหลังจะสั้นเรียบ มีความสะอาดเป็นเงางาม บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี
การเคลื่อนไหว : ขาทั้ง 4 สัมพันธ์กัน มีความสมดุลและสง่างาม
ขนาด : ความสูงวัดจากขาถึงหัวไหล่ สุนัขเพศผู้ สูง 15 นิ้ว , สุนัขเพศเมีย สูง 14 นิ้ว 

หลังอาน


สุนัขไทยหลังอาน เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย คือ ในจังหวัดตราดและจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดจันทบุรี และระยองจึงจัดเป็นสุนัขพื้นเมืองในบริเวณดังกล่าว
ลักษณะทั่วไป

เป็นสุนัขขนาดกลางมีรูปร่างใกล้เคียงกับสุนัขพื้นเมืองไทยทั่วไป แต่มีลักษณะพิเศษเป็นเอกลักษณะประจำพันธุ์ คือ บนหลังมีอานอยู่ด้านบน คล้ายว่ามีอานม้าวางอยู่บนหลัง มีรูปร่างลักษณะสง่างาม หน้าเชิด หูตั้ง หางทอดโค้งเหมือนดาบงอน ลิ้นมีปานสีดำ แต่เดิมใช้ในการล่าสัตว์เพราะมีความคล่องแคล่วว่องไว สำหรับอานที่เกิดบนหลังที่ดีจะต้องมีขนาดใหญ่ อานของสุนัขเกิดจาก 2 ลักษณะดังนี้

1. ขนที่ชี้ย้อนกลับไปด้านหน้า และไม่ได้เกิดจากขวัญ
2. ขวัญ ขวัญจะวนเป็นรูปก้นหอยจากไหล่ทั้ง 2 ข้างแล้วมาบรรจบกันที่หัวไหล่ เป็นวงกลมใหญ่ และเรียวลงมาตามแนวกระดูกสันหลังจรดโคนหางเหมือนอานม้า

การเกิดขวัญ ในตำแหน่งและจำนวนที่ต่างกัน มีผลทำให้เกิดรูปร่างของอานแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถแบ่งได้ 8 ชนิด ดังนี้

1. อานเข็ม มีขนาดเล็ก และไม่มีขวัญ
2. อานแบบแผ่น หรือ อานม้า ขนาดใหญ่เต็มแผ่นหลังและไม่มีขวัญ
3. อานแบบเทพพนม ขนบนหลังจะไม่ชี้ย้อนไปด้านหัวแต่จะชี้ชนกันกลางแนวสันหลัง เหมือนใช้นิ้วประสานกันพนมไหว้ และไม่มีขวัญบนหลัง
4. อานแบบหัวลูกศรหรือธนู เกิดจากการมีขวัญ 2 ขวัญบนหัวไหล่
5. อานแบบพิณ เกิดจากขวัญจำนวน 3 – 4 ขวัญ คือ ที่บริเวณหัวไหล่ 1 – 2 ขวัญ และบริเวณกึ่งกลางลำตัว 2 ขวัญอยู่กันคนละฝั่ง
6. อานแบบใบโพธิ์ ขวัญจะกว้างเต็มแผ่นหลังและเรียวยาว แต่ไม่ถึงโคนหาง
7. อานแบบไวโอลีน เกิดจากขวัญตั้งแต่ 3 – 5 ขวัญ คือ คู่แรกอยู่บนหัวไหล่หน้า ส่วนคู่ที่ 2 จะเกิดค่อนไปด้านหาง
8. อานแบบลูกโบว์ลิ่ง เกิดจากขวัญ 4 – 5 ขวัญ คือ บริเวณหัวไหล่อาจมี 1 ขวัญ หรือไม่มีก็ได้ บริเวณกลางลำตัวมี 1 คู่ อยู่ชิดกันเป็นช่องที่แคบ และมีขวัญอีก 1 คู่ที่เหนือโคนขาหลังโดยอยู่ห่างกัน และดูกว้างกว่าคู่แรก

นิสัย สุนัขไทยหลังอานเป็นสุนัขขนาดกลาง ได้ชื่อว่ารักเจ้าของมาก ซื่อสัตย์ ไม่ดื้อประจบเก่ง สุภาพ และฉลาด แต่มีความดุร้ายพอสมควรเมื่อเจอคนที่ไม่ใช่เจ้าของ

มาตรฐานพันธุ์
ขนาด เพศผู้ เพศเมีย
ความสูง (เซนติเมตร) 52.5 - 62.5 47.5 - 57.5
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 22 - 24 20 - 22

ขน สุนัขไทยหลังอานจะมีขนสั้น แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบกำมะหยี่ ขนจะสั้นเกรียนติดผิวหนังและมีความนุ่ม และแบบสั้นแต่ไม่เกรียนติดหนัง

สี สีควรเป็นสีเดียวทั้งตัว ส่วนสีที่พบได้ คือ น้ำตาล, น้ำตาลแดง, น้ำตาล อ่อน, น้ำตาลดำ, ขาว, กลีบบัว และสีสวาท

หลักเกณฑ์การให้คะแนนในการประกวดสุนัขไทยหลังอาน
อาน 20 คะแนน
ขนาด และลักษณะทั่วไป 20 คะแนน
ลำตัว 15 คะแนน
หาง 10 คะแนน
ขน 10 คะแนน
หัว - ตา 10 คะแนน
ขา - เท้า 10 คะแนน
หู 10 คะแนน
รวม 100 คะแนน 

เวสต์ไฮด์แลนด์ไวท์เทอเรียร์

สุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็ก ชอบความสนุกสนาน ร่างกายมีความสมดุล แข็งแรง มีการนำเสนอและอวดตัวเองได้ค่อนข้างดี ไม่หวงตัวมาก มีโครงสร้างร่างกายที่ดี แข็งแรง มีอกที่ลึกและซี่โครงดีมีหลังตรง และลำตัวด้านหลังเต็มไปด้วบพลังจากกล้ามเนื้อของขาร่วมกับการแสดงออกของสุนัข ทำให้เพิ่มระดับความแข็งแรงและความคล่องแคล่ว ความยาวของขนประมาณ 2 นิ้ว เป็นขนสีขาวค่อนข้างแข็ง แต่ขนชั้นในนิ่ม ขนที่ยาวกว่าจะอยู่บริเวณด้านหลังและด้านข้าง ควรมีการเล็มขนให้สั้นในบริเวณคอและขนบริเวณไหล่ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือขนบริเวณรอบคอด้านบนต้องปล่อยไว้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวโดยแผ่เป็นรูปวงกลมรอบๆใบหน้า






มาตราฐานสายพันธุ์ 
ขนาด : ในตัวผู้ขนาดไม่ควรเกิน 11 นิ้ว เมื่อวัดจากตะโหนก ในตัวเมียไม่ควรเกิน 10 นิ้ว ถ้าผิดไปจากนี้เล็กน้อยยอมรับได้ สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขขนาดกะทัดรัด ด้วยสัดส่วนและสมดุลที่ดี ลำตัวต้องระหว่างตะโหนกถึงหางจะสั้นกว่าความสูงเล็กน้อย มีขาที่สั้นแต่กระดูกเจริญดี แข็งแรง
ลักษณะที่ผิด มีความสูงมากกว่าหรือน้อยกว่าที่กำหนดไว้ กระดูกใหญ่
ศีรษะ : มีลักษณะกลมเมื่อมองจากด้านหน้า มีสัดส่วนที่พอเหมาะกับร่างกาย แววตาที่อยากรู้อยากเห็น ชอบค้นคว้า ทะเล้น นัยน์ตาตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีขนาดปานกลาง รูปทรงอัลมอนด์ สีน้ำตาลเข้ม ตาค่อนข้างลึก ตาคมและมีแววเฉลียวฉลาด มองจากด้านล่างมีขนคิ้วที่หนา ขอบตาดำ
ลักษณะที่ผิด ขนาดเล็ก ตาโปน หรือสีซีด
หู : ใบหูเล็ก ตั้งตรงเสมอ ตั้งห่างกันอยู่ด้านบนของขอบนอกของกะโหลก ปลายใบหูค่อนข้างแหลม หูต้องไม่ตก ขนที่ใบหูต้องได้รับการตัดและเล็มอยู่เสมอ สุนัขต้องขยับใบหูได้อย่างอิสระ สุนัขผิวสีดำถือว่าปกติเป็นที่นิยม
ลักษณะที่ผิด ใบหูกลม กว้าง ใหญ่ หูตั้งชิดกัน ไม่ตั้งตรง หรือตั้งอยู่ต่ำเกินไป
กะโหลก : มีความกว้างกว่าด้านยาวเล็กน้อย แต่ไม่แบนตรงบริเวณส่วนบนสุด มียอดเล็กน้อยระหว่างใบหู แล้วลาดลงมาบริเวณนัยน์ตา มีจุดสต๊อบที่ชัดเจน มีคิ้วที่หนา
ลักษณะที่ผิด กะโหลกที่แคบหรือกว้างเกินไป
ปาก : ไม่แหลม สั้นกว่าส่วนกะโหลก เต็มไปด้วยพละกำลังแล้วลาดลงมาสู่ปลายจมูก ซึ่งใหญ่และสีดำ ขากรรไกรได้ระดับและแข็งแรง ริมฝีปากต้องเป็นสีดำ
ลักษณะที่ผิด ส่วนปากยาวกว่าส่วนกะโหลก จมูกมีสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำ
การสบกันของฟัน ฟันต้องใหญ่เหมาะกับขนาดของสุนัข ฟันตัดอย่างน้อย 6 ซี่ ระหว่างฟันเคี้ยว ทั้งฟันบนและฟันล่าง การไม่มีฟันกรามเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ฟันตัดบนอาจอนยู่เหลือครบ เหลือฟันตัดล่างเล็กน้อยยอมรับได้
ลำตัว : คอเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและลาดลงไปยังไหล่ได้ดี ความยาวของลำคอต้องได้สัดส่วนของสุนัข
ลักษณะที่ผิด ลำคอสั้นหรือยาวเกินไป
ส่วนบนของลำตัว : เรียบและได้ระดับทั้งขณะที่ยืนและวิ่งหรือเดิน
ลักษณะที่ผิด บั้นท้ายสูงเกินไปตัวบิด
ลำตัว : กะทัดรัดได้สัดส่วนดี อกลึกอย่างน้อยลงไปถึงข้อศอกสุนัข
ลักษณะที่ผิด อกตื้น แคบหรือแอ่น ยาวหรือสั้นเกินไป อกที่เป็นถังเบียร์
หาง : ต้องสั้น ได้สัดส่วน ลักษณะคล้ายแครอท ขณะยืนต้องสูงไม่เกินกะโหลก ปกคลุมไปด้วยขนที่แข็ง ต้องตรงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หางชี้ชันแต่ต้องไม่แตะหลัง ต้องไม่ตัดหาง
ลักษณะที่ผิด ตั้งอยู่ในตำแหน่งต่ำ หางยาวมากเกินไป ขนบางมาก หางม้วนขอดอยู่บนหลัง
ขาหลัง : เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทำมุมดี ขาไม่ถ่างมากนัก ขาบิดรงบริเวณข้อขาบนขาสั้นและขนานกัน เมื่อจากด้านท้าย
ลักษณะที่ผิด ขาบิดหรือขาถ่างมาก ไม่มีมุมระหว่างข้อ ข้อเท้ามีลักษณะคล้ายเท้าวัว
อุ้งเท้า : อุ้งเท้าหลังเล็กกว่าเท้าหน้า มีอุ้งเท้าหนา อาจมีการตัดนิ้วติ่
ขน : มีความสำคัญมาก ซึ่งนานๆครั้งจะพบว่าสุนัขมีขนที่สมบูรณ์แบบ ขนต้องเป็น 2 ชั้น เพื่อให้ศรีษะได้รูปต้องมีการดึงขนทิ้ง เพื่อให้ได้ใบหน้าที่กลม ขนชั้นนอกแข็ง ชี้ตรง สีขาว มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว ขณะที่ขนบริเวณและคอจะสั้นกว่า อาจมีการตัดแต่งขนเพื่อให้ได้รูปทรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ จะมีขนที่ยาวบริเวณตำแหน่ง และขา ขนที่ดีคือสีขาว แข็ง ตรง ขนชั้นในนิ่ม
สีขน : ต้องเป็นมีขาว ตามชื่อสุนัข
การก้าวย่าง : เป็นอิสระ เดินตรงและเลี้ยวกลับไปมาง่าย มีอิสระและพลังขับเคลื่อนที่ดี
อารมณ์ : ทะเล้น สดใส ร่าเริง เป็นมิตร กล้าหาญ เชื่อมั่นในตนเอง
ลักษณะที่ผิด ขี้ขลาด ขี้อาย หรือมีนิสัยนักเลง ชอบต่อสู้

เยอรมันเช็พเพอด

มีถิ่นกำเนิดในประเทศเยอรมัน มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อัลเซเชี่ยน" ผู้คนนับพันนับหมื่นที่ต้องอยู่ในโลกมืด ได้อาศัยเจ้าเยอรมันเช็พเพอดนี่แหละที่คอยเป็นพี่เลี้ยงนำทางไหนต่อไหนได้ พิทักษ์สันติราษฎร์ในเยอรมันนี แคนาดา ตามตรอกซอกซอยของบัลติมอร์ หรือในสวนสาธารณะของไฮด์ปาร์คที่มืดสลัว ไปด้วยม่านหมอกในใจกลางกรุงลอนดอน ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานรักษากฎหมาย ที่ไม่ย่นระย่ออย่างใดทั้งสิ้น เขาทำหน้าที่เฝ้าเหมืองเพชรในคิมเบอร์ลี่ย์ก็ได้ เฝ้าโรงเรียนในนิวยอร์คก็ได้ หรือให้เฝ้าฐานทัพอากาศที่ทริโปลีก็ได้ ไม่มีใครสามารถคำนวณได้ว่าสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอด ได้ช่วยชีวิตคนไว้เท่าไรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่สอง โดยที่การดมกลิ่นหาทหารบาดเจ็บบ้าง ถือสารและลำเลียงเวชภัณฑ์บ้าง คอยเตือนหน่วยลาดตระเวนในป่าต่อการถูกซุ่มโจมตีบ้าง ตลอดจนการตรวจรักษาแนวชายฝั่งทะเลเพื่อกันการก่อวินาศกรรม และค้นหาชาวบ้านที่ถูกซากปรักหักพังทับถมอยู่เนื่องจากการถูกระเบิดทางอากาศ ในยามไม่มีศึกสงคราม มันก็ทำงานเป็นการกุศล เนื่องจากจมูกที่ไวสามารถนำคนค้นหาพวกที่ถูกหิมะถล่ม ฝังเอาไว้ในเทือกเขาแอลป์ของสวิส ในปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้มีรูปร่างที่สวยงาม เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง เป็นผลมาจากการผสมของสุนัขต้อนแกะหลายชนิดมานับศตวรรษ ซึ่งรวมเอาสุนัขที่มีขนาดย่อมแต่ว่องไวของท้องทุ่งเยอรมันภาคเหนือ กับสุนัขที่โตล่ำสันกว่าของภูมิภาคที่เป็นขุนเขาทางใต้เอาไว้ด้วย แม้จะสิ้นศตวรรษที่ 19 ยุคเลี้ยงแกะของเยอรมันได้สิ้นสุดลง แต่อย่างไรก็ตามนักเพาะพันธุ์สุนัขไม่กี่คนก็ยังพยายามสงวนพันธุ์อันมีคุณสมบัติอันวิเศษในการเลี้ยงแกะเอาไว้ ซึ่งนับว่าควรแก่การยกย่องมากที่สุดได้แก่ ร้อยเอกทหารม้าผู้หนึ่งชื่อ มาร์กฟอนสเตฟานิตช์ ซึ่งได้ลงเรี่ยวลงแรงแข็งขัน เพื่อที่จะทำให้สุนัขพันธุ์นี้เข้ามาตรฐาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1889 และได้เจริญเติบโตเรื่อยมาจนมาเป็นสโมสรสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยการเพาะพันธุ์สุนัขอย่างเดียว จากความพยายามของร้อยเอกฟอนสเตฟานนิตช์กับพรรคพวก ที่ได้พยายามเสาะหาสุนัขที่ใช้งานได้ดีและฉลาด และแล้วผลที่ได้ก็น่าภาคภูมิใจ ที่เมื่อมองสุนัขพันธุ์นี้ขณะที่มันปฏิบัติตามคำสั่งของนายโดยไม่ผิดพลาด

มาตรฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะโดยทั่วไป สิ่งที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็นเยอรมันเช็พเพอดที่ดีคือ ความแข็งแรงว่องไว เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตื่นตัวและมีชีวิตชีวา มองโดยรวมแล้วจะกลมกลืนและได้สัดส่วนกันระหว่างส่วนหน้าและส่วนท้าย ตัวจะยาวกว่าส่วนสูง ลำตัวลึก เส้นรอบตัวจะเป็นเส้นโค้งที่กลมกลืนแทนที่จะเป็นเหลี่ยมมุม มีขนาดค่อนข้างใหญ่และอ่อนแอ ให้ความรู้สึกไม่ว่าจะอยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวถึงความกระชับของกล้ามเนื้อและการเคลื่อนที่อย่างนุ่มนวล
อุปนิสัย : เยอรมันเช็พเพอดมีบุคลิกที่เด่นชัดคือ มีการแสดงออกถึงความไม่หวาดหวั่นแต่ก็ไม่ก้าวร้าว มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้นและตื่นตัวกระฉับกระเฉง เต็มใจจะรับใช้เต็มที่ในลักษณะของการเป็นเพื่อน เป็นสุนัขเฝ้าบ้านนำทางผู้ที่อยู่ในโลกมืด เป็นสุนัขต้อนฝูงสัตว์ หรือทำหน้าที่อารักขา สุนัขจะไม่ขี้ขลาดหรือหลบอยู่หลังผู้เป็นเจ้านาย ไม่ควรจะอ่อนไหว ไม่มองไปรอบๆ หรือแหงนหน้ามอง ไม่แสดงอาการตื่นตระหนก โดยจะหางตกเมื่อได้ยินเสียงหรือมองเห็นสิ่งแปลกๆ หากสันขมีอุปนิสัยดังกล่าวข้างต้นจะถูกตัดสินว่ามีความบกพร่องอย่างร้ายแรง สุนัขจะต้องยอมให้กรรมการตรวจฟันและลูกอัณฑะ ถ้าหากสุนัขกัดกรรมการจะต้องถูกไล่ออกจากสนามประกวด สุนัขที่อยู่ในอุดมคติควรที่จะสามารถใช้งานในลักษณะที่ไม่หยิบโหย่ง ผสมผสานกับลำตัวและการก้าวย่างที่เหมาะกับงานการที่ทำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน
ศีรษะ : แลดูสง่างาม ถูกสลักเสลาอย่างเรียบร้อย แข็งแรงได้สัดส่วนกับลำตัว ศีรษะของเพศผู้แลดูล่ำสัน ส่วนเพศเมียก็อ่อนช้อย ปากยาวและแข็งแรง มองจากด้านหน้าหน้าผากจะโค้งเล็กน้อย กะโหลกศีรษะลาดเทยาวเป็นรูปลิ่ม ดั้งจมูกจะไม่หักมาก กรามแข็งแรง
หู : แหลมพอประมาณได้สัดส่วนกับกะโหลกศีรษะและเปิดไปข้างหน้า และจะตั้งชันเมื่อตั้งอกตั้งใจ หูที่อยู่ในอุดมคติเส้นกลางของใบหูเมื่อมองจากด้านหน้า จะขนานกันและจะตั้งฉากกับพื้น หูที่ถูกตัดหรือห้อยจะต้องถูกคัดออกจากสนามประกวด
ตา : ขนาดปานกลาง รูปร่างเหมือนเมล็ดอัลมอนด์ ตั้งแบบเฉียงเล็กน้อยแต่ไม่โปนออกมา ตาควรจะดำมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มีแววตาที่ฉลาดและเฉียบแหลม
ฟัน : 42 ซี่ ข้างบน 20 ซี่ ข้างล่าง 22 ซี่ แข็งแรงและสบกันแบบกรรไกร ฟันข้างบนยื่นไปข้างหน้าหรือการสบแบบเสมอเป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ ฟันล่างที่ยื่นไปข้างหน้าเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง ถ้าหากฟันซี่อื่นที่นอกเหนือไปจากฟันกรามเล็กก็ถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นกัน
คอ : แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ค่อนข้างยาวได้สัดส่วนกับศีรษะ หนังไม่หย่อนยาน เมื่อสุนัขตั้งใจหรือตื่นเต้นศีรษะจะชูสูง คอจะยืดออก โดยทั่วไปศีรษะจะยื่นไปข้างหน้ามากกว่าชูสูง แต่จะสูงกว่าไหล่เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเคลื่อนไหว
ส่วนหน้า : แผ่นกระไหล่ยาวและทำมุมเฉียง อยู่ในแนวราบและไม่ยื่นไปข้างหน้า แขนตอนบนเชื่อมกันแผ่นกระดูกไหล่โดยทำมุมราว 90 องศา ขาหน้าไม่ว่าจะมองดูทางไหนก็เหยียดตรง และกระดูกจะเป็นรูปไข่มากกว่ากลม ฝ่าเท้าแข็งแรงและทำมุมราว 25 องศา กับแนวตั้ง
เท้า : สั้นและกระชับ นิ้วโค้งอย่างพอเหมาะ อุ้งเท้าหนาแบะเล็บแน่น สั้นและมีสีดำ ควรตัดนิ้วติ่งที่ขาหลัง แต่นิ้วติ่งที่ขาหน้ามักจะปล่อยให้อยู่อย่างเดิม
สัดส่วน : สุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอดที่นิยมกันจะอยู่ในสัดส่วนของความยาวต่อความสูงอยู่ระหว่าง 10 ต่อ 8.5 ความสูงของสุนัขเพศผู้วัดจากจุดสูงสุดของไหล่อยู่ระหว่าง 24-25 นิ้ว ส่วนเพศเมีย 22-24 นิ้ว ความยาววัดจากกระดูกอกไปยังตอนท้ายของกระดูกสะโพก
ลำตัว : โครงสร้างโดยรวมทำให้เกิดความรู้สึกถึงความลึกและแน่น แต่ไม่เทอะทะ อกควรจะเต็มและลงลึกอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง อกกว้างมีเนื้อที่มากพอสำหรับหัวใจและปอด ซี่โครงยาวและโค้งไม่เป็นรูปถังเบียร์หรือแบนมากเกินไป และไปจรดส่วนอกลงไปถึงข้อศอก หากซี่โครงอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องจะทำให้ศอกหดกลับอย่างอิสระในขณะที่สุนัขกำลังวิ่งเหยาะๆ หากกระดูกซี่โครงโค้งออกมามากเกินไปจะทำให้ข้อศอกกางออก
ท้อง : กระชับ ชายกระเบนเหน็บจะรั้งขึ้นเล็กน้อย
เส้นหลัง : จุดสูงสุดของเส้นหลังจะสูงและค่อยๆ ลาดเท
หลัง : เหยียดตรงแข็งแรงมาก ไม่แอ่นหรือโค้งขึ้น เอวมองจากด้านบนจะกว้างและแข็งแรง ความยาวระหว่างกระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายและตะโพกมากเกินไปเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ตะโพกยาวและค่อยๆ ลาดเท
หาง : เป็นพวงข้อกระดูกสันหลัวข้อสุดท้ายอย่างน้อยจะยื่นไปต่อกระดูกขาหลัง หางตั้งอยู่ตรงตะโพกและห้อยลงขณะที่อยู่ในท่าพัก หางจะโค้งเล็กน้อย เมื่อสุนัขตื่นเต้นหรือกำลังเคลื่อนไหวหางจะโค้งและยกขึ้น แต่ไม่ควรโค้งไปข้างหน้าและเลยเส้นตั้งฉาก หางที่สั้นเกินเป็นข้อบกพร่องอย่างมาก หากหางถูกตัดจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ประกวด
ส่วนท้าย : เมื่อมองจากด้านข้าง ตะโพกโดยรวมจะกว้าง ส่วนที่อยู่ระหว่างข้อต่อขาหลังและเท้า สั้นและแข็งแรง
การย่างก้าว : เยอรมันเช็พเพอดเป็นสุนัขที่วิ่งเหยาะๆ โครงสร้างถูกพัฒนามาเพื่อให้เหมาะสมกับการทำงาน การก้าวย่างควรจะเป็นไปด้วยความนุ่มนวล และยื่นเท้าออกไปสุด ราบรื่นและเป็นจังหวะ
สี : ไม่มีสีที่แน่นอน แต่จะนิยมสีเข้มมากกว่า หากจมูกสีอ่อน สีฟ้าหรือเป็นสีตับเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง หากขนสีขาวหรือมีจมูกไม่ดำจะถูกห้ามไม่ให้ลงประกวด
ขน : ควรมีขนสองชั้นและยาวปานกลาง ขนชั้นนอกควรจะแน่นมากที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ ขนเหยียดตรง หยาบแนบไปกับลำตัว ขนชั้นนอกเป็นลอนเล็กน้อย ศีรษะรวมทั้งข้างในหู หน้าผาก ขาและเท้าจะปกคลุมด้วยขนสั้น ส่วนคอจะปกคลุมด้วยขนที่หนาและยาวกว่า ด้านหน้าของขาหน้าและขาหลังจะมีขนยาวและยื่นไปปกคลุมข้อเท้าและข้อขาหลังตามลำดับ ขนที่นิ่มและคล้ายไหม, ขนชั้นนอกยาวเกินไป, ขนเหมือนขนสัตว์และหยิกเป็นลอนเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ 

ยอร์คเชียเทอร์เรีย

สุนัขพันธุ์นี้เป็นสัตว์เลี้ยงแฟชั่นในสมัยสมเด็จพระนางวิคตอเรียสุนัขพันธุ์นี้เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ WATERSIDE TERRIER BLACH AND TAN ENGLISH TERRIER และCLYDESDALE TERRIER,YORKSHIRE TERRIER เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กขนยาวจรดพื้นขนเป็นประกายคล้ายแพรวไหมจึงเป็นที่นิยมเลี้ยงของสตรีทั่วไป สุนัขพันธุ์นี้ต้องได้รับการดูแลรักษาขนพอสมควร








มาตราฐานสายพันธุ์ 
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง
ศีรษะ : มีขนาดเล็ก ส่วนบนของหัวค่อนข้างแบน
หู : มีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูปตัว V หูตั้ง
ตา : มีขนาดปานกลาง ตามีสีเข้ม ตาแวววาวเป็นประกาย
ปาก : มีขนาดไม่ยาวมาก
จมูก : สีดำ
ฟัน : มีขนาดใหญ่ ขนแบบเสมอหรือขบแบบกรรไกร
ลำตัว : มีลักษณะสั้น เส้นตรงอยู่ในแนวระดับ
ขาหน้า : ตรง ข้อศอกไม่บิดเข้าหรือออก เท้ากลม เล็บสีดำ นิ้วติ่งต้องตัดออก
ขาหลัง : เมื่อมองจากด้านหลังขาหลังตั้งตรง ข้อเท้าทำมุมพอประมาณ เท้ากลม เล็บสีดำ นิ้วติ่งต้องตัดออก
หาง : ตัดให้สั้นพอประมาณ หางตั้งอยู่เหนือระดับหลัง
ขน-สี : คุณภาพของขนถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ขนมีลักษณะเหยียดตรงเป็นประกายคล้ายแพรวไหมขนบริเวณลำตัวให้เสมอพื้น ขนบริเวณหัวยาวอาจจะผูกด้วยโบว์เดี่ยวหรือโบว์คู่ก็ได้ขนที่ผ่า เท้าตัดให้สั้น บริเวณลำตัวสีเทาเข้มเงา บริเวณหัว อก และขา สีน้ำตาลเงา
ขนาด : เป็นสุนัขขนาดเล็ก
น้ำหนัก : ไม่เกิน 7 ปอนด์

มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์

สุนัขสายพันธุ์ มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ สุนัขที่มีเคราเป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัว ผู้ที่กำลังมองหา มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ มาเลี้ยงแต่ยังไม่แน่ใจว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะเหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ 
เรามีคำแนะนำดีๆของ คุณเมธี ลีลาบรรจง จาก M.mambo club ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยง มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ มากว่า 10 ปี มาฝากค่ะ


มารู้จัก M.mambo club
M.mambo club เป็นบ้านที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ “มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ” (Miniature Schnauzer) มากว่า 10 ปี เริ่มจากผมเป็นคนรักสัตว์และชอบเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่ยังเด็ก ก็คงเหมือนกับท่านอื่นๆที่มีสุนัขเป็นเพื่อนมาตลอด ในตอนแรกผมก็เลี้ยงสุนัขมาหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสุนัขพันธุ์ผสม สุนัขพันธุ์แท้ จนผมได้พบมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ในภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องหนึ่ง และได้จดจำชื่อของเจ้าตัวที่มีหนวดเอาไว้จากนั้นผมก็เริ่มศึกษาสุนัขสายพันธุ์นี้อย่างจริงจัง

จนในที่สุด เมื่อสิบสามปีที่ผ่านมาผมก็ได้มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ตัวแรกมาเป็นเพื่อน และตั้งชื่อให้ว่า “mambo” ซึ่งกลายมาเป็นชื่อคอกสุนัขของผมมาจนถึงปัจจุบัน ผมได้เรียนรู้และศึกษาจากมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ที่เลี้ยงอยู่ ทำให้เห็นว่ามินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ นั้นเป็นสุนัขที่มีขนาดกำลังดี สามารถเลี้ยงในสถานที่ไม่กว้างขวางได้ และยังเป็นสุนัขที่โดดเด่นด้วยบุคลิกหน้าตาที่มีเสน่ห์ และมีโครงสร้างที่สง่างามไม่แพ้สุนัขพันธุ์ใหญ่ มีท่วงท่าการเดินที่น่าประทับใจ และเป็นสุนัขที่ฉลาด แข็งแรง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ อดทน แถมยังสามารถปรับตัวเข้ากับอากาศในบ้านเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ นั้นเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นสาบและไม่ผลัดขน แม้แต่ผู้ที่เป็นโรคภูมิก็สามารถเลี้ยงได้

5 ปีที่เราได้ศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ รวมถึงการแต่งขนทั้งแบบประกวด และไม่ประกวด จนในที่สุด เราจึงตัดสินใจนำสุนัขเข้าประกวดเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.2000 จวบจนปัจจุบันสุนัขของ M.mambo club สามารถเก็บคะแนนจนได้เป็น TH.CH. (ไทยแลนด์แชมป์) แล้วกว่าสิบตัว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา M.mambo club ได้มุ่งเน้นพัฒนาเพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบสุนัขพันธุ์มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ได้ทราบว่ามินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ที่สวยงามและถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร รวมไปถึงไม่ทำให้ผู้ที่ให้ไว้วางใจนำสุนัขจากทางเราไปเลี้ยงผิดหวังเพราะสุนัขเหล่านั้นได้เติบโตเป็นสุนัขที่สวยงามและสุขภาพแข็งแรง


อุปนิสัยและบุคลิกประจำสายพันธุ์มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ 
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขที่ตื่นตัว กล้าหาญ ฉลาด เชื่อฟังคำสั่ง ฝึกง่าย เป็นมิตร ไม่ก้าวร้าว ชอบและมีความสุขที่จะอยู่ใกล้ชิดเจ้าของ ซนเมื่อยังเล็ก แต่เมื่อโตก็จะนิ่งขึ้น


ลักษณะเด่นของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ 
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขที่จัดอยู่ในกลุ่มเทอร์เรียร์ จึงเป็นสุนัขที่มีความแข็งแกร่งแม้จะไม่ใช่สุนัขพันธุ์ใหญ่ และมีความคล่องแคล่วว่องไวสูง เป็นสุนัขที่ไม่ดุร้าย สามารถเข้ากับสุนัขได้ทุกสายพันธุ์ ถึงแม้ขนาดไม่ใหญ่แต่ก็เป็นสุนัขเฝ้าบ้านได้ ในต่างประเทศสามารถฝึกให้เป็นสุนัขที่ดมหาสิ่งของได้ แม้กระทั่งการดมหาโรคมะเร็ง


การเลี้ยงดูมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ 
การเลี้ยงดูไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ให้อาหารที่มีคุณภาพสูง ก็อาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มวิตามินใดๆ และเนื่องจากมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขอดทนและแข็งแรงจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก สำหรับการดูแลขน ควรแปรงขนอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง อาบน้ำอาทิตย์ละครั้ง ตัดขนทุกสามถึงสี่เดือน (ในกรณีที่ต้องการประกวดสุนัขต้องดูแลขนด้วยการถอน)
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ นั้นจัดเป็นสุนัขน่าเลี้ยงมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นสุนัขที่ไม่ผลัดขน ขนไม่ร่วง และเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นสาบ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ก็สามารถเลี้ยงได้


ปัญหาที่พบบ่อยในมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ 
ถ้าเป็นมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ที่มีสายเลือดที่ถูกต้องและปราศจากโรคทางพันธุกรรมแล้ว ก็มักไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นสุนัขที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ไม่ดี อาจมีปัญหาเรื่องผิวหนัง ปัญหาเกี่ยวกับตา และนิ่ว


สิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษสำหรับมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ 
สุนัขทุกๆ สายพันธุ์ในบ้านเรานั้นควรระวังเรื่องยุงเป็นพิเศษ ไม่ควรให้สุนัขนอนในบริเวณที่มียุงชุม ควรจะมีมุ้งลวด เพราะยุงจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องหนอนหัวใจ สุนัขไม่ว่าสายพันธุ์อะไรก็จะเจ็บป่วยและมีชีวิตที่ไม่ยืนยาว


กิจกรรมโปรดของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ 
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขขนาดเล็กที่กระตือรือร้น ตื่นตัวและชอบมีกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรที่เราจัดให้


มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์เหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีบุคลิกแบบใด
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขขนาดเล็ก เป็นเทอร์เรียร์ที่พร้อมที่จะตื่นตัวในยามที่เรามีกิจกรรม และพร้อมจะนิ่งเฉยในเวลาปกติ (ในสุนัขเต็มวัย) จึงทำให้เหมาะกับทุกคน ทุกวัย และอาจเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับผู้ที่พร้อมจะมีกิจกรรมตลอดเวลา


ความนิยมเลี้ยงมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ในปัจจุบัน
ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์เยอะขึ้น แต่มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ที่มีคุณภาพที่ดีสวยงามนั้นยังมีน้อยมาก
สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนที่จะตัดสินใจเป็นเจ้าของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์


อยากฝากทุกท่านที่กำลังจะตัดสินใจเป็นเจ้าของสุนัขไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม
อันดับแรก ควรจะเลือกสุนัขที่เข้ากับความเป็นอยู่ และนิสัยของเรามากกว่าที่จะหาสุนัขซึ่งเป็นที่นิยม หรือสุนัขที่หน้าตาถูกใจ
เพราะสุนัขแต่ละสายพันธุ์มีนิสัยแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าท่านเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยชอบทำกิจกรรมอะไร แต่อยากได้ แจ็ก รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ มาเลี้ยงเพราะเห็นในโฆษณา หรือภาพยนต์แล้วถูกใจ ก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดก็ได้ เพราะ แจ็ก รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ นั้นเป็นสุนัขที่มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรือถ้าท่านชอบสุนัขประเภทหน้าสั้น แต่กลับเป็นผู้ที่ต้องการออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมกับสุนัขอยู่ตลอดเวลา ท่านก็อาจกำลังเลือกผิดก็ได้


อันดับสอง เมื่อเราได้สุนัขที่ตรงตามความต้องการของเราและเหมาะกับตัวตนของเราแล้ว เราควรมองเรื่องคุณภาพตามมา คุณภาพของสุนัขนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากถึงมากที่สุด อย่ามองสุนัขเพียงแค่ว่ามีเพ็ดดิกรี เพราะความเข้าใจเรื่องเพ็ดดิกรีในบ้านเรานั้นยังมีน้อยมาก มักเข้าใจว่าสุนัขที่มีเพ็ดดิกรีเป็นสุนัขพันธุ์แท้ และเป็นสุนัขที่ดี แต่ความจริงแล้วเพ็ดดิกรีนั้นจะสำคัญอย่างยิ่งต่อเมื่อเรารู้จักสายเลือดของสุนัขที่เราต้องการซื้อ เราไม่ควรตัดสินใจสุนัขเพียงราคาหรือสถานที่ใกล้ ไกล

วิธีที่ดีที่สุดในการเลือกคุณภาพของสุนัขคือ ไม่ว่าใกล้ไกลแค่ไหนเราต้องไปดูให้ถึงที่ ทุกที่ เพราะนอกจากจะได้เห็นสุนัขและได้เห็นการเลี้ยงดูของสถานที่นั้นๆ แล้ว ยังได้สอบถามว่าผู้เพาะพันธุ์หรือผู้ขายนั้นมีความรู้และความชำนาญมากน้อยเพียงใด สามารถแก้ปัญหาให้กับสุนัขของเราเมื่อรับไปแล้วหรือไม่ และอย่าตัดสินใจเพียงราคา

จริงอยู่ที่ราคาอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ แต่โปรดอย่าลืมว่าสุนัขหนึ่งตัวนั้นอายุยืนได้สิบถึงสิบห้าปี ถ้าเราได้สุนัขที่ถูกใจอาจเป็นการซื้อครั้งเดียวจบ แต่ถ้าไม่ถูกใจอาจต้องเสียเงินก้อนต่อๆ ไปตามมา และสุนัขที่ดีนั้นต้องเป็นสุนัขที่ปราศจากโรคทางพันธุกรรม หรือมีโรคทางพันธุกรรมที่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


ราคาของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์แบ่งออกเป็นกี่ระดับ 
การขายสุนัขนั้นอยู่ที่ความพอใจของผู้ขายและผู้ซื้อมากกว่า สุนัขเป็นสินค้าที่มีชีวิต ดังนั้นถ้าสุนัขเป็นสุนัขที่ดี อาจไม่ได้ตั้งราคาตามตลาดและความนิยมในช่วงเวลานั้นๆ แต่ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพและการเลี้ยงดูมากกว่า อย่างไรก็ดีสุนัขทุกสายพันธุ์ในบ้านเรานั้นมีตั้งแต่ไม่กี่พันบาทจนถึงหลักแสนบาท



มาตรฐานสายพันธุ์มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์

น้ำหนัก : ประมาณ 14 ปอนด์

ส่วนสูง : 12-14 นิ้ว

ขน : ขนแข็ง มีขน 2 ชั้น

สี : สีดำ, สีดำสลับขาว และสีเกลือพริกไทย

จัดอยู่ในกลุ่ม : Terrier

หัว : ศีรษะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กะโหลกแบนค่อนข้างยาว หนังศีรษะตึงปราศจากรอยย่น

หู : ลักษณะเป็นตัว V นิยมตัดหูและดามให้ตั้ง

ตา : ขนาดเล็ก สีน้ำตาลเข้ม ตาลึก เป็นรูปกลมรี

ปาก : เส้นที่ลากจากสันปากจะขนานกับเส้นที่ลากจากหัวกะโหลก ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของกะโหลก มีเคราหนา

จมูก : มีมุมหักเล็กน้อย

ฟัน : สบกันแบบกรรไกร

ลำตัว : เป็นสี่เหลี่ยม ค่อนข้างสั้นและหนา กำยำล่ำสัน เส้นหลังตรงลาดเอียงจากหัวไหล่จรดโคนหาง ส่วนท้ายของลำตัวจะเตี้ยกว่าส่วนหน้าเล็กน้อย

คอ : มีลักษณะโค้ง ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ หนังคอตึง

อก : กว้าง ลึกจรดศอก

ขา : ขาหน้าตั้งตรง ขาหลังยาวแข็งแกร่ง ห่างกันพอประมาณ กระดูกใหญ่ ข้อเท้าแข็งแรง เท้าหนามีลักษณะคล้ายเท้าแมว นิ้วเท้าชิด

หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง นิยมตัดหางให้สั้น

ขนและสีขน : หยาบแข็งและหนา เช่นเดียวกับหนวดและเครา สีขนที่นิยมมี 3 สีคือ Salt & Pepper (สีเกลือพริกไทย),Black & Silver (ดำเงิน หรือดำสลับขาว) และ Black (สีดำ) ส่วนสีขาวยังไม่เป็นที่ยอมรับในหลายๆประเทศ

ขนาด : ตั้งแต่ 12 นิ้ว และไม่เกิน 14 นิ้ว

การเดินและวิ่ง : คล่องแคล่ว มั่นคงและสง่างาม มองจากด้านหน้าหรือด้านหลังจะเห็นการเคลื่อนที่ของขา เป็นเส้นตรง

ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง : ขนนุ่มสลวยทั้งตัว หัวลีบเล็ก สีขาวทั้งตัว

นิสัย : คล่องแคล่วว่องไว กล้าหาญ อดทนและเป็นนักสู้ ไม่มีลักษณะบ่งบอกว่าเป็นสุนัขขนาดเล็กเลย เชื่อฟังคำสั่ง เป็นมิตร สามารถปรับตัวเข้ากับสัตว์อื่นๆได้ เช่น แมว กระต่าย นก (แต่ต้องผ่านการฝึกฝน)

เหมาะสม : สำหรับเจ้าของที่ขี้เหงา เพราะสุนัขพันธุ์นี้รักเจ้าของ และไม่ค่อยจะยอมให้คนในครอบครัวห่างสายตาด้วยการมานั่งหรือนอนเฝ้าอยู่ข้างกาย

ไม่เหมาะสม : สำหรับคนที่ลังเลใจ ตัดสินใจไม่เด็ดขาด เพราะสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่ปราดเปรียวและชอบทำอะไรรวดเร็ว

ข้อดีของการเลี้ยง : ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ก็สามารถเลี้ยงได้ เพราะไม่ผลัดขน และเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นสาบ

ข้อเสียของการเลี้ยง : เป็นสุนัขที่หวงแหนเจ้านาย จนบางครั้งดูเกินเหตุไป

ช่วงชีวิต : ประมาณ 14-16 ปี

ฟเร็นช บลูด็อก


ประมาณปี 1860 มีสุนัข Bulldog มากมายในประเทศอังกฤษและสุนัขชนิดนี้ไม่ค่อยนิยมเลี้ยงเท่าไร สุนัขเหล่านี้บางส่วนถูกส่งเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส และได้ผสมกับสุนัขพันธุ์ต่างๆในฝรั่งเศส จนในที่สุดเกิดเป็นสุนัขพันธุ์ French Bulldog ขึ้นและสุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศฝรั่งเศสโดยเฉพาะสุภาพสตรี

ปี 1880 ปารีส เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของชาวอเมริกาผู้มั่งคั่ง และเมื่อมีข่าวสุนัขพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น ต่างก็ต้องการอยากจะไปดูด้วยตาตนเอง สิ่งที่พวกเขาได้พบคือสุนัขพันธุ์ French Bulldog สุนัขพันธุ์นี้มาจากอังกฤษ ความจริงอเมริกามีอิทธิพลในการเลือกเพาะพันธุ์นี้ขึ้นมาให้มีลักษณะอย่าง French Bulldog ในปัจจุบันได้รับการยอมรับที่สามารถให้พัฒนาให้มีหัวอย่างมัสตีฟ ขากรรไกรเป็นรูปสี่เหลี่ยม ลำตัวกะทัดรัดและที่สำคัญคือที่ใบหูเหมือนค้างคาวอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

French Bulldog เป็นสุนัขพันธุ์เล็กน้ำหนักไม่เกิน 28 ปอนด์ หน้าเหมือน Bulldog ทั่วไป ริมฝีปากหนา จมูกหักสั้นเข้าไปด้านใน นัยน์ตาสดใส ลักษณะพิเศษคือใบหูเหมือนค้างคาว ซึ่งไม่มีสุนัขพันธุ์ใดในโลกนี้เหมือนเขาจะเห่าและขู่บ้าง แต่มีความเป็นมิตรชอบทำตัวเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าเป็นผู้อารักขา พร้อมที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก แมว และสัตว์อื่นๆ มีนิสัยขี้เล่น ร่าเริงรักเด็กขนาดใกล้เคียงกับ Pug และ Boston Terrier

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ชอบเล่น ตื่นตัวอยู่เสมอ
ศีรษะ : มีขนาดใหญ่คล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หัวกะโหลกระหว่างหูค่อนข้างแบน
หน้าผาก : มีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเน้อชัดเจน
หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ค่อนข้างยาว ปลายหูกลม โคนหูอยู่ค่อนข้างสูง
ตา : มีสีเข้ม ขนาดปานกลาง ตาค่อนข้างกลม ตาค่อนข้างห่างจากหู ตาไม่ลึกหรือโปน
ดั้งจมูก : มีมุมหักชัดเจนทำให้มีหลุมลึก
ปาก : มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากเหนียงและค่อนข้างหนา กรามแข็งแรงขณะหุบปากไม่เห็นฟันยื่นออกมา
จมูก : มีลักษณะสั้น รูจมูกกว้าง จมูกมีสีดำ หรือสีจาง ขึ้นอยู่กับสีของขน
ฟัน : แข็งแรง ขบแบบ UNDERSHOT
ลำตัว : มีลักษณะสั้นกลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้างบริเวณเอวเล็ก
คอ : มีลักษณะกลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือก ค่อนข้างย่น
อก : กว้างและลึก
ขาหน้า : มีกระดูกใหญ่ ขาหน้าค่อนข้าสั้น ขาหน้าประกอบด้วยกล้ามเนื้อขา ขาหน้าตั้งตรงขาหน้าทั้งสองห่างกันพอสมควร เท้าหน้าขนาดพอเหมาะนิ้วเท้าชิด
ขาหลัง : ประกอบด้วยกล้ามเนื้อขาหลังตรง ห่างกันพอประมาณข้อเท้าหลังอยู่ในระดับต่ำ เท้าหลังมีขนาดพอเหมาะนิ้วเท้าชิด เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย
หาง : โคนอยู่ในระดับต่ำ หางตรงหรือเป็นเกลียวได้ หางค่อนข้างสั้น
ขน-สี : ขนสั้นนุ่ม ขนมีหลายสี เช่น น้ำตาล ขาว น้ำตาลขาว หนังค่อนข้างย่น
น้ำหนัก : ชนิดเล็กมีน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ ชนิดใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์
ข้อบกพร่อง : หูไม่เหมือนค้างคาว สีดำ-ขาว สีดำ-น้ำตาล ตามีสีไม่เหมือนกัน น้ำหนักเกิน 22 ปอนด์ 

อาฟกันฮาวด์

ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและลักษณะของขนที่ยาวสลวยจึงทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่สง่างาม ดูแล้วเป็นสุนัขที่มีความคลาสสิกในตัวมากเมื่อมองจากด้านหน้าจะดูตรงหัวเชิด ตรง คอยาวโค้ง ได้สัดส่วน ขนยาว ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวจะต้องสง่างาม ให้สมกับที่ฝรั่งเขาตั้งให้ว่าเป็น THE KING OF DOG

มาตราฐานสายพันธุ์ 
อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่เรียบร้อย สำอาง แต่ตอน อายุระหว่าง 2-12 เดือน จะซนมาก
ศีรษะ : โหนกยาวได้สัดส่วน บ่งบอกถึงความสมดุลกับลำตัว หน้าผากและใบหน้าเรียบไม่ควรมีสต๊อป สันจมูกเรียบ หรืออาจจะโก่งเล็กน้อย ขนตรงส่วนหัวจะต้องยาวนุ่มสลวย แต่ขนที่ใบหน้าต้องสั้นเกรียน ลูกสุนัขบางตัวจะมีหนวด แต่จะหลุดออกเมื่อโตขึ้น
หู : ยาว ต้องอยู่ในแนวเดียวกับตา เนื้อปลายหูจะต้องยาว เวลาวัดจะต้องยาวถึงจมูก อย่างน้อยที่สุด ปกคลุมด้วยขนยาว
ตา : ยาวคล้ายผลอัลมอนด์ ดวงตาสีดำหรือสีคล้ำใสไม่ฝ้าฟาง
จมูก : โตพอสมควรและต้องเป็นสีดำ
คอ : ยาว แข็งแรง โค้งมนได้สัดส่วน จนถึงหัวไหล่ ซึ่งยาวโค้งและลู่ไปข้างหลัง
ลำตัว : เส้นตรงในระดับหัวไหล่ถึงสะโพกแข็งแรงและมีกระดูกสะโพกโผล่ เล็กน้อย สีข้างเรียบ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่เท่ากับความยาวจากข้างหน้าถึงข้างหลัง
หาง : ไม่อยู่สูงเกินไปจากเส้นหลัง ต้องขดเป็นวงแหวนหรือตรง ส่วนปลายโค้งเหมือนดาบแขก แต่จะต้องไม่ขดเหมือนก้นหอย หางต้องไม่เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาวิ่งหางจะต้องไม่ไปจุกที่ก้น
ขาหน้า : ตรง แข็งแรง และมีช่วงยาวสวยงามระหว่างข้อศอกกับข้อพับเท้าสุนัขที่มีหัวไหล่ตรงเป็นสุนัขที่ผิดแสตนดาร์ด
ขน : ปกคลุมยาวทั้งตัวยกเว้นขนหลัง หน้าและหางมีขนปกคลุมยาวไม่มาก ลักษณะเส้นขนนุ่มเส้นบางไม่หนาหยาบ ในสุนัขที่โตเต็มที่ขนหลังจะต้องสั้นเกรียนสีเข้มกว่าสีขนบนลำตัว
สี : ทุกสี เช่น ขาว ครีม เทา ดำแดง ดำเงิน รวมไปถึงลายเสือ
น้ำหนัก : ตัวผู้ประมาณ 28 กก. ตัวเมียประมาณ 23 กก
ส่วนสูง : ตัวผู้สูง 27 นิ้ว ตัวเมียสูง 25 นิ้ว อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เกินหนึ่งนิ้ว
ข้อบกพร่อง : ดุหรือขี้กลัว ขนสั้นเกินไป เวลาวิ่งเท้าแกว่ง หลังแอ่น หลังโก่งหรือสุนัขที่มีเส้นหลังไม่เรียบหน้าอกกว้างเกินไป หัวสุนัขที่ไม่โหนกและไม่มีขนปกคลุม 

สแตฟฟอร์ดเชียร์เทอร์เรียร์

ความเหมาะสมในการเลี้ยงสุนัขพันธุ์สแตฟฟอร์ดเชียร์ เทอร์เรียร์ คือ ต้องการครอบครัวหรือผู้ที่สามารถอุทิศเวลาให้มันเป็นสุนัขที่ฝึกได้ง่าย มันมีความพึงพอใจที่จะเอาใจผู้เป็นเจ้าของ เป็นสุนัขที่คุ้นเคยกับผู้คนและเฉลียวฉลาดมาก เป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยพลังงาน มีความสามารถในเชิงกีฬา ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงร่วมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ และถ้าเลี้ยงร่วมกับเพศเดียวกันก็จะเกิดการต่อสู้กัน

สุนัขพันธุ์นี้มีสายเลือดของสุนัขพันธุ์บูลด็อกและสุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์เท่าๆ กัน ก็เลยตัวล่ำ สู้ไม่ถอย เคยมีประวัติมวยสุนัขติดอยู่ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษมาตั้งแต่ต้นคริสต์ษตวรรษที่ 19 แล้ว

ชื่อนี้เอามาจากพวกชาวเหมืองของเมืองสแตฟฟอร์ดเชียร์ประเทศอังกฤษ ที่ตั้งหน้าตั้งตาเพาะสุนัขบ่อนเอาไว้กัดกันมาช้านาน ก่อนที่จะมีกฎหมายห้ามกัดสุนัข

อเมริกาเพิ่งรู้จักสุนัขพันธุ์นี้เมื่อปี 1870 ซึ่งในตอนแรกเรียกกันว่า แยงกี้เทอร์เรียร์บ้าง หรือไม่ก็อเมริกันบูลล์เทอร์เรียร์บ้าง พวกนักเลงเพาะสุนัขที่อเมริกาเน้นหนักกันที่ขนาดและรูปร่าง สุนัขที่เพาะจากอเริกาก็เลยตัวหนักกว่าเดิม
สุนัขรุ่นสมัยใหม่นี้ทิ้งนิสัยนักเลงไปแล้ว กลายสุนัขที่สุภาพและวางใจได้ ว่ากล่าวก็ง่าย เมื่อนำมาเลี้ยงก็คงไม่สามารถที่จะหาใครที่น่ารักและภักดีเหมือนเจ้าสแตฟฟอร์ดเชียร์ตัวนี้ไม่ได้อีกแล้ว มันจะรักเจ้านายถึงขั้นยอมถวายชีวิตเลยทีเดียว

มาตราฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะโดยทั่วไป : มีขนเรียบ มีพละกำลังมากและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่หยุดนิ่งและคล่องแคล่วว่องไว
ศีรษะ : สั้น ลึก กะโหลกกว้าง กล้ามเนื้อแก้มเด่นชัด มีหน้าแงที่ชัดเจน หน้าผากสั้น จมูกสีดำ หากเป็นสีชมพูเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
ตา : นิยมสีดำ แต่อาจจะมีความสัมพันธ์กับสีขนก็ได้ ตากลมขนาดปานกลาง ตาสีจางหรือขอบตาสีชมพูเป็นข้อบกพร่อง ยกเว้นในกรณีที่ขนรอบขอบตาเป็นสีขาวขอบตาก็อาจเป็นสีชมพูได้ หูไม่ใหญ่ ใบหูตั้งครึ่งเดียว ถ้าใบหูตั้งหรือหลุมถือเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
ปาก : สบกันแน่น ฟันที่อยู่บนหรือล่างยื่นไปข้างใดข้างหนึ่งถือเป็นข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง
คอ : เส้นหลังและลำคอเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เส้นหลังอยู่ในแนวระดับ ด้านหน้ากว้าง ส่วนนอกที่อยู่ระหว่างขาหน้าลึก กระดูกซี่โครงโค้งได้ที่ ซี่โครงที่อยู่ใกล้ชายกระเบนเหน็บค่อนข้างบอบบาง ไม่ตัดหาง หางที่ยาวหรือโค้งเกินไปเป็นข้อบกพร่อง
ส่วนหน้า : ขาเหยียดตรง มีกระดูกที่แข็งแรง ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากกัน ไหล่ไม่หย่อนยาน ฝ่าเท้าไม่อ่อนแอ เท้าควรมีอุ้งเท้าที่หนา แข็งแรงและมีขนาดปานกลาง
ส่วนท้าย : ควรจะมีกล้ามเนื้อส้นเท้าที่ต่อกับเข่าควรโค้งได้ที่ นิ้วติ่งที่ขาหลังควรตัดทิ้ง
ขน : เรียบ สั้น แนบติดหลัง ไม่ควรตัดให้สั้น
สี : สีแดง สีลูกวัว สีขาว สีดำหรือสีน้ำเงินหรือสีใดสีหนึ่งที่กล่าวมาร่วมกับสีขาว อาจจะมีเฉดสีของสีลายเสือ หรือเฉดสีลายเสือร่วมกับสีขาว สีดำ สีน้ำตาลแดงและสีตับจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ประกวด
การย่างก้าว : อิสระ เต็มไปด้วยพละกำลัง คล่องแคล่วว่องไว ไม่ต้องออกแรงมาก หากมองจากทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ขาจะเคลื่อนไหวขนานกัน 

ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์

สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์นี้มีต้นกำเนิดในรัฐนิวฟาวด์แลนด์ประเทศแคนาดา โดยใช้ช่วยงานชาวประมงในการลากอวนเข้าฝั่ง ปีที่กำเนิดประมาณ ค.ศ. 1800 และต่อมาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 สุนัขต้นสายพันธุ์ลาบราดอร์ได้ถูกนำจากนิวฟาวด์แลนด์มาที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสุนัขที่มีสีดำ ขนสั้นทั้งสิ้น แต่ด้วยความที่มีการเก็บค่าภาษีสุนัขที่แพงมาก ประกอบกับกฏระเบียบที่เข้มงวดของอังกฤษทำให้การนำเข้าสุนัขพันธุ์นี้ไปยังอังกฤษต้องหยุดชะงักลง เมื่อความต้องการลดน้อยลงคนจึงเลิกเพาะ จนมีการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาใหม่โดยผสมข้ามสายพันธุ์กับสุนัขในกลุ่มรีทรีฟเวอร์ในปี ค.ศ. 1903 จะเห็นได้ว่าเดิมสุนัขพันธุ์นี้มีแต่สีดำ แต่หลังจากมีการพัฒนาสายพันธุ์ในภายหลังทำให้เกิดสีเหลืองตามมา ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและถูกต้องตามมาตรฐานสายพันธุ์ หรือแม้จะเป็นสีช็อคก็ได้รับความนิยม

ปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้นอกจากจะใช้งานในการล่าสัตว์แล้ว ยังใช้ในการตรวจค้นหายาเสพติด ระเบิด และช่วยนำทางให้กับผู้พิการทางสายตาอีกด้วย

มาตราฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะทั่วไป : เป็นสุนัขที่มีโครงสร้างแข็งแรง ฝึกง่าย มีความกระตือรือร้น ขนาดใหญ่ ตัวผู้สูง 22.5-24.5 นิ้ว หนัก 60-75 ปอนด์ ตัวเมียสูง 21.5-23.5 นิ้ว น้ำหนัก 55-70 ปอนด์ (ส่วนสูงถึงหัวไหล่ และน้ำหนักโดยประมาณ 25-34 กิโลกรัม)
ศีรษะ : กะโหลกใหญ่กว้าง สันจมูกมี STOP ขอบบนของเบ้าตาเป็นสันนูนขึ้นเล็กน้อย
ตา : ตามีแววที่เป็นมิตร มีขนาดปานกลางไม่โปนหรือบุ๋มลึกเข้าไป มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำ
จมูก : จมูกใหญ่และกว้าง มีสีดำสนิทหรือสีน้ำตาล (ขึ้อยู่กับสีขน)
ฟัน : ฟันต้องสบกันพอดี โดยฟันล่างสัมผัสด้านในของฟันบน
หู : หูจะปรกด้านข้างของหัว มีขนาดพอดี ถ้าดึงปลายหูมาด้านหน้าจะยาวระดับตา
ลำตัว : คอยาวเล็กน้อย มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นลักษณะของสุนัขที่ใช้ในเกมกีฬา เส้นหลังตรง ลำตัวสั้น ช่วงอกกว้างหนา กระดูกซี่โครงค่อนข้างกลม
หาง : ส่วนโคนหางมีขนาดใหญ่ กลม หนา เรียวไปยังส่วนปลาย ไม่มีพู่หาง หางคล้ายหางของนาก
ขน : ขนสั้น เหยียดตรงและหนา มีขนสองชั้น ขนเรียบ มีสามสี สีดำสนิท สีน้ำตาลเข้ม หรือสีเหลืองหรือครีมจาง
ขา : ขาหน้าเหยียดตรงแข็งแรง อุ้งเท้าหนา นิ้วเท้าโค้งมาก ขาหลังแข็งแรงได้สัดส่วน
ลักษณะนิสัย : เป็นสุนัขที่ฉลาด ใจดี เป็นมิตร สุภาพ ไม่ก้าวร้าวต่อคนและสุนัขด้วยกัน อยู่รวมเป็นฝูงได้ ชอบว่ายน้ำ ตอบสนองรวดเร็ว สามารถฝึกความสามารถพิเศษอื่นๆ ได้มากมาย เช่น ใช้เป็นสุนัขค้นหาผู้ประสบภัย ค้นหายาเสพติด ฯลฯ ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ง่าย
สิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ : เป็นสุนัขที่อ้วนได้ง่าย ควรพาไปออกกำลังกายสม่ำเสมอ และได้รับอาหารที่ถูกสุขลักษณะ 

ร็อทไวเลอร์

ด้วยอกที่กว้างใหญ่ และร่างกายที่ปราศจากไขมันและมีแต่กล้ามเนื้อ ให้ความรู้สึกถึงพละกำลัง มันเป็นสุนัขที่อ่อนโยน ล่ำสัน แม้จะแลดูใหญ่โต แต่การย่างก้าวที่รวดเร็วทำให้วิ่งเร็วได้อย่างน่าทึ่ง สุนัขที่ทรหดอดทนจะคุ้นเคยกับการมีชีวิตอยู่นอกบ้าน และสามารถทนต่อทุกสภาพอากาศ

สุนัขพันธุ์ร็อทไวเลอร์เป็นสุนัขอารักขาที่น่าเกรงขาม เมื่อถูกฝึกให้ต่อสู้และโจมตี ก็จะทำอันตรายให้แก่ผู้บุกรุก แม้จะฝึกได้ไม่ยาก แต่ต้องมีเจ้านายที่มีวินัยเพื่อทำให้มันเคารพและเชื่อถือ ด้วยความเชื่อมั่นในพละกำลัง โดยธรรมชาติมันจะไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้ากับภยันตรายที่จะเกิดขึ้น จะแสดงออกถึงความโดดเดี่ยวโดยธรรมชาติ แต่จะไม่เป็นดังกล่าวกับเจ้านายหรือผู้คนในครอบครัว

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ร็อทไวเลอร์ได้ถูกเกณฑ์ให้เข้าประจำการในกองทัพบกของเยอรมัน และในปัจจุบันทำหน้าที่เป็นสุนัขอารักขาให้กับโรงงานและสถานที่ประกอบการ ในประเทศออสเตรเลียมันถูกใช้ในราชการของกรมตำรวจ
สุนัขพันธุ์ร็อทไวเลอร์เป็นสัตว์ที่มีความตื่นตัวและเฉลียวฉลาดอย่างน่าทึ่ง สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่สอน การแสดงออกถึงความสงบเยือกเย็น ทำให้เห็นถึงความกล้าหาญและเสียสละ ด้วยเหตุนี้ทำให้ร็อทไวเลอร์เป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัว

มาตราฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะทั่วไป : ร็อทไวเลอร์ที่อยู่ในอุดมคติควรมีขนาดปานกลาง ล่ำและมีพลัง ความกระทัดรัดและโครงสร้างที่บึกบึนเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความแข็งแรง สุนัขเพศผู้จะมีโครงสร้างที่ใหญ่กว่าสุนัขเพศเมีย โดยที่เพศเมียแม้จะมีขนาดเล็กกว่าแต่ไม่ได้อ่อนแอกว่าแม้แต่น้อย
ศีรษะ : ความยาวปานกลาง มองด้านข้าง หน้าผากจะโค้งเล็กน้อย ขากรรไกรบนและล่างแข็งแรง หูขนาดปานกลาง ห้อยลง ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ในขณะที่ตื่นตัวหูจะอยู่ในระดับเดียวกับส่วนบนของกะโหลก จมูกกว้างและมีสีดำ ลำตัวกว้างและลึกลงไปจนถึงข้อศอก หลังเหยียดตรงและแข็งแรง ชายกระเบนเหน็บสั้น ลึกและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หางตัดสั้นเกือบชิดลำตัว
ส่วนหน้า : ระยะจากจุดสูงสุดถึงข้อศอกมีระยะเท่ากับข้อศอกถึงพื้นดิน ขาได้พัฒนาอย่างแข็งแรง ประกอบด้วยกระดูกที่ใหญ่และเหยียดตรง ฝ่าเท้าแข็งแรง มีสปริงและเกือบจะตั้งฉากกับพื้นดิน กลมและกระทัดรัด โค้งกำลังดี ไม่บิดเข้าหรือบิดออก อุ้งเท้าหนาและแข็ง เล็บเท้าสั้น แข็งแรง และมีสีดำ นิ้วติ่งควรจะตัดทิ้ง
ขน : ขนชั้นนอกเหยียดตรง แน่นและหยาบ ยาวปานกลางและเรียบ ขนชั้นในจะอยู่บริเวณคอและตะโพก ส่วนขนจะหนาหรือบางขึ้นอยู่กับสภาพของอากาศ
สี : ต้องมีสีดำโดยเสมอ โดยอาจจะมีมาร์คกิ้งสีสนิมหรือสีมาฮ็อกกานี มาร์คกิ้งที่ว่าอาจจะอยู่เหนือตาแต่ละข้างบริเวณแก้ม เป็นแถบอยู่ด้านข้างของปากเป็นต้น 




มินิเจอร์ พินเชอร์

มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเยอรมันนี เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีลักษณะคล้ายสุนัขพันธุ์ DOBERMAN แต่มีขนาดเล็กกว่า บางครั้งอาจเรียกว่าโดเบอร์แมนแคระหรือนิยมเรียกสั้นๆว่า MINIPIN MINIPIN เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก มีความสง่างาม ท่วงท่าการเดินเหมือนม้าย่อง MINIPIN ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่จากนิสัยที่กล้าหาญและคล่องแคล่วปราดเปรียวจึงนิยมใช้เป็น สุนัขเฝ้ายามพันธุ์หนึ่ง








มาตราฐานสายพันธุ์ 
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ชอบเห่า
ศีรษะ : มีขนาดสัมพันธ์กับขนาดของลำตัว หัวกะโหลกแบน หัวกะโหลกระหว่างหูจะเล็กสู่โคนปาก
หู : โคนอยู่ในระดับสูง หูอาจจะตัดและดามให้ตั้งหรือไม่ตัดหูก็ได้
ตา : ค่อนข้างโต เป็นรูปกลมรี ตาสีดำ ขอบตาสีดำ ยกเว้นสีช็อคโกแลต ขอบตาจะมีช็อคโกแลตด้วย
ดั้งจมูก : มีมุมหักเล็กน้อย
ปาก : มีลักษณะแข็งแรงมาก มีขนาดสัมพันธ์กับส่วนหัวสันปากจะขนานกับสันของหัวกะโหลก ริมฝีปากและแก้มมีขนาดเล็ก
จมูก : สีดำ ยกเว้นสุนัขที่มีสีช็อคโกแลต จมูกจะมีสีช็อคโกแลตด้วย
ฟัน : ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : ค่อนข้างสั้นเพศผู้ความสูงของลำตัวมีขนาดเท่ากับความยาวของลำตัว ส่วนเพศเมียจะยาวกว่าเล็กน้อยเส้นหลังตรงอาจจะอยู่ในแนวระดับหรือเอียงสู่บั้นท้ายก็ได้
คอ : มีขนาดสัมพันธ์กับขนาดของหัวและลำตัว คอมีลักษณะกลมประกอบด้วยกล้ามเนื้อ หนังคอตึง คอตั้งเชิดสง่า
ลำตัวส่วนหน้า : หัวไหล่ ลาดเอียง กระดูกหัวไหล่ทำมุมพอเหมาะเพื่อให้การเดินมีลักษณะคล้ายม้าย่อง
อก : ลึกจรดข้อศอก
ขาหน้า : กระดูกขามีขนาดปานกลาง แข็งแรง มองจากด้านหน้าขาหน้าทั้งสองตรงตั้งฉากกับพื้น ขาหน้าทั้งสองห่างกันพอเหมาะข้อเท้าหน้าแข็งแรงตั้งฉากกับพื้น เท้าเล็กคล้ายแมว เท้าหน้ากลม เล็บหนา นิ้วติ่งควรตัดออก
เอว : สั้น แข็งแรง
สะโพก : มีความสูงใกล้เคียงกับระดับเส้นหลัง
ขาหลัง : ท่อนบนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ ข้อเท้าแข็งแรงทำมุมพอประมาณข้อเท้าหลังสั้นทำมุมตั้งฉากกับพื้น เมื่อมองจากด้านหลัง ขาหลังตั้งตรง ขนานห่างกันพอเหมาะ เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้า
หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง นิยมตัดหาง
ขน-สี : ขนสั้นแข็ง ขนสีแดงดำทั้งตัว ดำ-แดง,ช็อคโกแลต-แ
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก
ส่วนสูง : ประมาณ 10-12.5 นิ้ว
การเดิน-วิ่ง : มีลักษณะคล้ายม้าย่อง ยกเท้าสูง มองจากด้านหน้า-หลัง ขาหน้า-หลัง ตรงไม่บิดงอ ขณะเดินคอเชิดหางตั้ง
ข้อบกพร่อง : สีผิดปกติ เตี้ยหรือสูงกว่ามาตรฐาน

MALTESE

สุนัข MALTESE มีถิ่นกำเนิดในประเทศ MALTA (แถบทะเลเมอร์ดิเตอริเนียน) มานานเกือบ 2800 ปีแล้ว นักเขียนหรือนักวาดภาพในสมัยโบราณมักนิยมเขียนเรื่องราวหรือภาพของสุนัขพันธุ์นี้อยู่เนืองๆ และเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้คนสมัยนั้น และจนกษัตริย์อียิปต์โบราณและ QUEEN VICTORIA ด้วย MALTESE เป็นสุนัขที่มีขนมีขาวสะอาดมีสุขภาพดี คล้ายสุนัขใหญ่กลุ่ม SPANIEL ในปี ค.ศ. 1607 มีการซื้อขายพันธุ์ MALTESE ตัวหนึ่งสูงถึง 2000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 50000 บาท






มาตราฐานสายพันธุ์ 
อุปนิสัย : เป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ สุภาพ กล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว
ศีรษะ : มีความยาวปานกลาง หัวกะโหลกลักษณะกลม
หู : โคนหูอยู่ในระดับต่ำ หูตก บริเวณหูมีขนหนาและยาว
ตา : สีดำ ลักษณะกลม ขอบตาดำ ทำให้ดูตื่นตัวอยู่เสมอ
ดั้งจมูก : มีมุมหักพอประมาณ
ปาก : มีความยาวปานกลาง ขนาดของโคนปากเรียวสู่ปลายจมูกเล็กน้อย
จมูก : สีดำ
ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบเสมอหรือขบแบบกรรไกร
ลำตัว : ค่อนข้างสั้น ความยาวของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความสูงของลำตัว เส้นหลังตรงขนานกับพื้น
คอ : มีความยาวพอเหมาะ
อก : ค่อนข้างลึก
ขาหน้า : มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้ามีขนยาวเท้ามีขนาดเล็กค่อนข้างกลม นิยมตัดขนบริเวณเท้าเพื่อไม่ให้รุ่มร่าม
เอว : แข็งแรง เอวกิ่วเล็กน้อย
ขาหลัง : มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ข้อเท้าแข็งแรงทำมุมพอประมาณเท้ามีขนาดเล็ก เท้ากลม นิยมตัดบริเวณเท้า
หาง : ค่อนข้างยาวหางมีขนยาว หางพาดอยู่บนหลัง
ขน-สี : มีขนชั้นเดียว ขนยาวเหยียดตรง ขนฟู ขนไม่ตั้ง บริเวณหัวยาวอาจมัดเป็นจุก หรือหวีปัดลงก็ได้มีสีขาวทั้งตัว
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก
น้ำหนัก : ประมาณ 4-6 ปอนด์
การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม วิ่งเร็ว ขณะวิ่งขาหลังเป็นเส้นตรง ไม่บิดงอ
ข้อบกพร่อง : ขนหยิกงอ เท้าบิด

The dog

Poodle ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีกำเนิดในประเทศใด บางข้อมูลกล่าวว่ามีกำเนิดในประเทศเยอรมัน โดยรู้จักกันในนาม Pudle แต่บางท่านกล่าวว่า Poodle เป็นสุนัขประจำชาติของฝรั่งเศส โดยชาวฝรั่งเศสมักนิยมใช้สุนัขพันธุ์นี้ ในการคาบสิ่งของหรือฝึกแสดงในละครสัตว์และชอบที่จะตัดแต่งทรงขน ซึ่งมีลักษณะหยิกแน่นเป็นขดเป็นทรงต่างๆตามแฟชั่นเป็นที่โปรดปราน แก่บรรดาคุณหญิงคุณนายชาวฝรั่งเศสกันมาช้านาน
สุนัขพันธุ์นี้สืบเชื้อสายมาจากพันธุ์ Water Retriever จึงมีความสามารถพิเศษในการว่ายน้ำ Poodle มี 3 ขนาด โดยมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปคือ Toy poodle, Miniature Poodle, Standard Poodle โดยขนาด Standard Poodle ถือกำเนิดก่อน Poodle ขนาดอื่นๆ ซึ่งนิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาจึงมีคัดเลือกสหพันธุ์ที่เล็กลง ผสมผสานจนเกิดเป็น Miniature และ Toy Poodle ขึ้น ทั้งสามขนาดนี้กำหนดขึ้นให้เป็นมาตรฐานประกวดไปทั่วโลกในปัจจุบัน

มาตราฐานสายพันธุ์ 
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ช่างประจบประแจง ขี้อิจฉา สอนง่าย รักสะอาด จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาช้านานทั่วทุกมุมโลก

หู : ห้อยแนบชิดส่วนหัว โคนหูจะอยู่ในระดับต่ำกว่าตาเล็กน้อย หูมีขนยาว ใบหูค่อนข้างกว้างและหนา

ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะค่อนข้างกลม แก้มค่อนข้างแบนหากมองจาด้านบน ลักษณะจากส่วนหัวถึงปลายจมูกจะมีลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำ

ตา : มีลักษณะเป็นรูปกลมค่อนข้างรี คล้ายผลอัลมอนด์ ตาสีเข้ม ขอบตาเข้ม ตามีแววร่าเริง ตื่นตัวเสมอ

ดั้งจมูก : มีมุมหักพอสมควรหรือลาดลง

ปาก : ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก สันปากตรงแข็งแรง ริมฝีปากตึงไม่ห้อยหย่อนยานหรือปากล่างหนาจนเกินไป

ฟัน : ขาวแข็งแรง ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : มองจากด้านข้าง มีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความสูงของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของลำตัว เส้นหลังตรงแข็งแรง

คอ : มีขนาดค่อนข้างยาว ทำให้ Poodle ดูสง่างาม ขณะเชิดหัวขึ้นหนังคอตึง คอประกอบด้วยกล้ามเนื้อ

อก : ลึก กว้างพบประมาณ

เอว : สั้น ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ

ขาหน้า : มองจากด้านหน้า ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้าทั้ง 2 ข้างขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ มองจากด้านข้างอยู่ในแนวเดียวกับหัวไหล่ ขาหน้ามีกระดูกและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กับขนาดของสุนัข ข้อเท้าหน้าแข็งแรง เท้ามีขนาดเล็ก รูปกลมรีไม่แบนเหมือนตีนเป็ด ฝ่าเท้าหนา เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า ไม่บิดซ้ายบิดขวา นิ้วติ่งตัดออก เล็บควรตัดสั้น

ขาหลัง : มองจากด้านหลัง ขาหลังตรง ขนานกัน ขาหลังท่อนบนมีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าสั้น ตั้งฉากกับพื้น ขาเท้าหลังทำมุมพอประมาณ และสัมพันธ์กับลำตัวส่วนหน้า เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้าคือไม่บิดซ้ายบิดขวา

หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง หางตั้งตรงไม่ชี้เอนไปด้านหลังขณะเดิน หางนิยมตัดออก 1 ใน 3 ส่วนของความยาวของหางทั้งหมด

ขน : Poodle มีขน 2 ชั้น ขนชั้นบนอ่อนนุ่ม ขนชั้นนอกยาว ขนชั้นนอกนี้มี 2 ชนิด คือ ชนิดหยิกและชนิดหยิกคลายเป็นเกลียวคลื่น Poodle นิยมตัดแต่งขนให้มีรูปทรงต่างๆ กันได้หลากหลายตามแฟชั่นในแต่ละสถานที่ แต่มีข้อบังคับแน่นอนในสนามประกวด ดังนี้ อายุน้อยกว่า 12 เดือน ตัดทรง Puppy Clip เมื่ออายุเกิน 12 เดือนไปแล้วต้องตัดทรง English หรือทรง Continental Clip

สี : มีขนสีเดียวตลอดทั้งตัว ขนอาจมีสีจางลงได้ Poodle ขาวอาจมีสีครีมอ่อนที่หูได้ แต่ไม่ใช่สีตัดกันจนเป็นสีน้ำตาล Poodle สีน้ำตาลช็อกโกแลต กาแฟ แอปปริคอท มักมีจมูก, ขอบตา, เล็บ, ริมฝีปาก สีน้ำตาลเข้มๆ หรือสีตับ ส่วน Poodle สีดำ เทาดำ เทาเงิน ครีม และขาวจะมีจมูก, เล็บ, ขอบตา, ริมฝีปากและไรจมูกเป็นสีดำ

ขนาด : Poodle มี 3 ขนาดและจัดอยู่ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ Standard Poodle มีขนาด ความสูงไม่ต่ำกว่า 15 นิ้ว Miniatrue Poodle มีความสูง 11-15 นิ้ว ทั้ง 2 ขนาดนี้ จัดอยู่ในกลุ่มของ Non-Sporting Toy Poodle มีขนาดความสูงไม่เกิน 11 นิ้ว จัดอยู่ในกลุ่ม Toy ส่วนขนาด Tea-Cup ซึ่งเล็กกว่า Toy Poodle เป็นเพียงขนาดไม่ได้จัดประกวด มีความสูงตั้งแต่ 8 นิ้วลงไป นับเป็น Pet-Quality ที่นิยมเลี้ยงกันเท่านั้นจะเข้าประกวดไม่ได้เลย ถือเป็น Poodle ที่ด้อยผิดมาตรฐานของสายพันธุ์ Poodle ทั่วๆ ไป

การเดิน : มีความสง่างาม ขณะเดินหรือวิ่ง ขาหน้าไม่แกว่งหรือยกเตะสูงเหมือนพันธุ์ Miniatrue Pinscher จะเหวี่ยงขว้างไกลไปข้างหน้าเช่นเดียวกับขาหลัง หัวตั้งตรง ขณะเดินไม่โยกไปมา ขาแข็งแรง ก้าวอย่างมั่นใจ

ข้อบกพร่อง : มีหลายสีในตัวเดียวกัน เป็น Under หรือ Overshot ตากลมโปน ขาบิด เดินไขว้ เดินเตะสูง ขนาดกลัว ดุร้ายขณะประกวด ตัดแต่งขนผิดทรงและ Oversize ในกลุ่มนั้นๆ 

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เธอยัง

เพลงเธอยัง POTATO เพลงที่กำลังดังที่สุดในขณะนี้ . . . ด้วยความหมายของเพลงที่ลึกซึ้ง ภาษาเพลงที่ไพเราะ ทำนองที่ติดหู ทำให้เพลงนี้โด่งดังและขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว 

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ พี่ฟองเบียร์ โปรดิวเซอร์และผู้แต่งเพลงนี้ได้บอกที่มาของเพลงนี้ว่า .. .

" นี่คือเพลงที่แต่งตอนเมาครั้งแรกในชีวิต ( ปกติไม่ดื่มเหล้า หรือ เบียร์ เพราะเป็นโรคแพ้แอลกอฮอลล์ ตั้งแต่เด็กๆ ) ไม่คิดว่าเพลงจะออกมาเป็นแบบนี้...ตอนนี้ยอดโหลดเสียงรอสายเป็นอันดับ 1 ติดกันมา 1 เดือนเต็มแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆครับ...ผมรักเพลงนี้ " (FongBeer WeRecords )


Liverpool

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นเมื่อ 15 มีนาคม1892 จากการแยกตัวออกไปของสโมสรเอฟเวอร์ตันเหตุจากความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าสนาม ทำให้สโมสรเอฟเวอร์ตันต้องย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ จอห์น โฮลดิ้ง เจ้าของสนาม จึงได้ร่วมมือกับ วิลเลียม อี บาร์เคลย์ และแฟนบอลกลุ่มหนึ่งออกมาตั้งทีมฟุตบอลใหม่กันเอง โดยได้ตั้งชื่อตามชื่อเมืองในปี 1894 และใช้สีแดงซึ่งเป็นสีประจำเมืองเป็นสีของเสื้อทีมเหย้า


ในปี 1901 มีการเพิ่มสัญลักษณ์ นกลิเวอร์เบิร์ด บนหน้าอกเสื้อทีม วิลเลียม อี บาร์เคลย์ คือผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร จอห์น แม็คเคนน่า รับหน้าที่เป็นประธานสโมสรและเป็นบุคคลซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในระยะแรกๆของทีม ลิเวอร์พูล ลงแข่งขันครั้งแรกใน แลงคาเชียร์ ลีก หรือลีกท้องถิ่น การแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรกของลิเวอร์พูลเป็นเกมในบ้านพบกับไฮเออร์ วอลตัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1892
ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 8-0 มันเป็นการเริ่มต้นที่สุดวิเศษและลิเวอร์พูลก็ผงาดคว้าแชมป์แลงคาเชียร์ ลีกไปครองอย่างง่ายดาย
และนี่คือผลงานที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทีมที่ก่อตั้งขึ้นมายังไม่ถึงหนึ่งปี ก่อนก้าวขึ้นสู่ดิวิชั่น2 และ ดิวิชั่น1 ตามลำดับ
ปี 1896 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นความสำเร็จ เมื่อ ทอมมี่ วัตสัน เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการคุมทีม สิ่งที่เขาทำให้กับสโมสรนี้มีค่ามากมายเหลือเกิน แซม เรย์โบลด์ กองหน้าจอมถล่มประตู และ ราอิสเบ็ค กองหลังจอมแกร่ง คือคีย์แมนที่ทำให้ทีมลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 สมัยแรกมาประดับสโมสรในปี 1901 โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่แปดปีหลังจากเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกสูงสุดของ ประเทศ

หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกสมัย ในปี 1906 และนับเป็นถ้วยรางวัลสุดท้ายในยุคของ กุนซือ
ทอมมี่ วัตสัน ปี 1920 เดวิด แอชเวิร์ธ คือผู้จัดการทีมรายที่สองที่เข้ามาคุมทีม และเพียงแค่ปีเดียวภายใต้การนำของ แอชเวิร์ธ ทีมก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้ในปี 1921 ทีมในชุดนี้เน้นไปที่แผงหลังอันแข็งแกร่ง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตูทีมชาติไอร์แลนด์ เอลิชา สก็อตต์ กองหลัง อีเพลม ลองวอร์ธ ,ทอม ลูคัส และ ดอน แม็คกินเลย์ สองฟูลแบ็ค แฮร์รี่ แชมเบอร์ ดาวซัลโวประจำทีมด้วยจำนวน 19 ประตู และคู่ขาในแดนหน้า ดิ๊ก ฟอร์ชอว์ ซึ่งยิงไป 17 ประตู

เดวิด แอชเวิร์ธ วางมือจากการคุมทีมในปี 1922 ปี 1923 แม็ตต์ แม็คควีน อดีตนักเตะยุคเริ่มก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูลในปี 1892 โดยสมัยค้าแข้งเจ้าตัวลงเล่นให้สโมสรถึง 150 เกมเลยทีเดียว แม็คควีน เข้ามารับงานต่อจากกุนซือคนก่อน เดวิด แอชเวิร์ธ
ในช่วงปลายของฤดูกาล 1922-23 ซึ่งขณะนั้นทีมมีคะแนนนำเป็นจ่าฝูง แม็คควีน พาทีมจบฤดูกาลด้วยการป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย
ทีมลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเรื่อยมา ไล่ตั้งแต่ปี 1928-36 จอร์จ เพ็ตเตอร์สัน ,1936 จอร์จ เคย์ และก็เป็นกุนซือ
เคย์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร

ในปี 1946 จอร์จ เคย์ เป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในปี 1950 กับ อาร์เซน่อล ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีโอกาสได้ลงเล่นที่สนามเวมบลีย์ทีมชุดนั้น ประกอบด้วย ไซริล ซิดโลว์,เรย์ แลมเบิร์ท,เอ็ดดี้ สไปเซอร์,ฟิล เทย์เลอร์ (กัปตันทีม),บิลล์ โจนส์,ลอวลี่ ฮิวจ์ส,จิมมี่ เพย์น,เบรอน,อัลเบิร์ต สตั๊บบินส์,โจ เฟแกน,บิลลี่ ลิดเดลล์ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ลงเล่นที่เวมบลีย์ ท่ามกลางแฟนบอล 100,000 คน แต่ผลการแข่งขันกลับไม่เป็นใจ ทีมหงส์แดงกลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ อาร์เซน่อล ไป 2-0 ทำให้ทำได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ และนั่นคือผลงานชิ้นสุดท้ายของ จอร์จ เคย์ดอน เวลช์ คือกุนซือที่เข้ามารับตำแหน่งแทน จอร์จ เคย์ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ แต่ผลงานกลับเลวร้ายลงอย่างไม่คาดคิด ทีมต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 1954

ดอน เวลช์ พยายามที่จะพาทีมกลับขึ้นสู่ดิวิชั่น1 ในฤดูกาลต่อมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนทีมต้องสั่งปลด และนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง ฟิล เทย์เลอร์ อดีตนักเตะกัปตันทีมลิเวอร์พูลชุดคว้าแชมป์ลีกปี 1946 เข้ามารับหน้าที่กู้้วิกฤิตให้กับทีม แต่ก็ต้องผิดหวังเนื่องจากไม่สามารถพาทีมกลับขึ่นสู่ดิวิชั่น1 ได้ทำให้ เทย์เลอร์ ตัดสินใจอำลาทีม

วันที่ 1 ธันวาคม 1959 คือวันที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยการประกาศแต่งตั้ง บิล แชงคลีย์ อดีตกุนซือของฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ บิล แชงคลีย์ จัดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสโมสร สนามซ้อมเมลวู๊ด ถูกซ่อมแซมปรับปรุงพื้นหญ้าใหม่ นำวิธีการฝึกซ้อมใหม่ๆมาสู่ทีม และเป็นคนเลือก11นักเตะลงสู่สนามเอง เขาจัดการโละนักเตะออกไปหลายคนและจากนั้นเขาก็ได้นำนักเตะที่มีแนวคิดที่ตรง กันในเกมเข้ามาสู่ทีม โรเจอร์ ฮันท์ ดาวยิงซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของดาวยิงตลอดกาลของสโมสรก็เป็นผลงานการคว้าตัว ของ บิล แชงคลีย์เพียงแค่ 3 ปี ลิเวอร์พูลก็กลับคืนสู่ดิวิชั่น1 ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1961-62 และนับเป็นการคืนสู่ดิวิชั่น1 ที่มั่นคงกว่าครั้งก่อนๆ

บิล แชงคลีย์ พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่6ของสโมสรในฤดูกาล 1963-64 ถัดจากนั้นอีกเพียงแค่ปีเดียว แชงคลีย์ พาทีมหวนคืนสู่สนามเวมบลีย์อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ โดยพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ในเวลา 90 นาที ทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ ทำให้ต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่ต้องมีการต่อเวลานับตั้งแต่ปี 1947 ช่วงต่อเวลาพิเศษ โรเจอร์ ฮันท์ โขกให้ทีมออกนำ ก่อนมาถูกลีดส์ ตีเสมอจากการยิงของ บิลลี่ เบรมเนอร์ หงส์แดงมาได้ประตูชัยจาก เอียน เซนต์จอห์น ที่ได้โขกจ่อๆให้ทีมชนะไปในที่สุด 2-1 คว้าถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ กลับสู่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งต้องรอคอยมายาวนานถึง 73 ปี

ปี1966 แฟนบอลลิเวอร์พูลนำเพลง You'll Never Walk Alone มาร้องในสนามซึ่งเหมือนเป็นแรงพลักดันได้เป็นอย่างดีฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ สามารถคว้าถ้วยสโมสรยุโรปมาครองได้ในรายการของ ยูฟ่า คัพ ด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 พร้อมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์ โดยก่อนหน้านี้คว้าแชมป์ลีกมาครองได้แล้ว ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลก้าวเท้าเข้าสู่สนามเวมบลีย์ พร้อมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ด้วยการชนะ ได้อีกสมัยหลังจบฤดูกาลแฟนบอลลิเวอร์พูลก็ต้องช็อคกันทั้งเมืองเมื่อ บิล แชงคลีย์ ประกาศวางมือจาการคุมทีมบิล แชงคลีย์ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรอย่างมากมายตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เจ้าตัวคุมทีม จนทำให้สังเวียนแอนฟิลด์กลายเป็นสังเวียนแข้งที่น่ากลัวสำหรับทุกทีมที่มา เยือน

แช งคลีย์ นำนักเตะที่มีความสามารถมาสู่ทีมมากมายไล่ตั้งแต่ยุคแรกๆอย่าง เอียน เซนต์จอห์น,รอน เยตส์,เอมลีน ฮิวจ์ส และคนที่ถือว่าเป็นการคว้าเพชรเม็ดงามมาสู่ทีมก็คือคู่หูจอมถล่มประตู เควิน คีแกน และ จอห์น โตแช๊ค สโมสรได้แต่งตั้ง บ็อบ เพสลีย์ อดีตนักเตะของสโมสรและยังเป็นมือขวาของ บิล แชงคลีย์ ขึ้นมาคุมทีมในฤดูกาล 1974 เพสลีย์ ยังคงใช้ห้องเก็บรองเท้าหรือที่เรียกกันว่า "บูธรูม" เป็นสถานที่สำหรับพูดคุยและวางแผนในการลงเล่นแต่ละนัด นักเตะในทีมอย่าง เควิน คีแกน เริ่มอิ่มตัวกับฟุตบอลอังกฤษจึงย้ายไปเล่นในเยอรมันกับฮัมบูร์ก เพสลีย์ จึงหันไปคว้าตัว เคนนี่ ดัลกลิช กองหน้าจาก เซลติก มาสู่ทีม ไม่นานนัก แกรม ซูเนสส์ นักเตะสกอตแลนด์อีกคนก็ย้ายมาสู่ทีม เมื่อบวกกับนักเตะเก่าในทีมอย่าง ฟิล ธอมป์สัน,เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อด,เรย์ คลีเมนซ์,อลัน เคนเนดี้ ทีมชุดนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก

ปี 1981 เพสลีย์ ยังคงนำนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมอย่างต่อเนื่อง บรูซ กร็อบเบลล่า,เอียน รัช,รอนนี่ วีแลน,เคล็ก จอห์นสตัน ทั้งหมดคือคีย์แมนในยุคของ บ็อบ เพสลีย์ ทำให้สโมสรลิเวอร์พูลรุ่งเรืองสุดขีดในช่วงที่เจ้าตัวคุมทีม พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 6สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) 3สมัย, ยูฟ่า คัพ 1สมัย, ลีก คัพ 3สมัย, ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ 1สมัย และแชมป์ แชริตี้ ชิลด์ อีก 5 สมัย รวมแล้ว 19 รางวัลตลอดระยเวลาเพียงแค่ 9 ปี ชื่อของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่แล้วก็ถึงเวลาเมือ บ็อบ เพสลีย์ ประกาศวางมือไปอีกคนโจ เฟแกน หนึ่งในผลผลิตจาก "บูธรูม" อีกคนก้าวขึ้นคุมทีมในปี 1983 ดูเหมือนงานคุมทีมในสโมสรจะมีรากฐานที่แน่นมาตั้งแต่สมัยของ บิล แชงคลีย์ เพราะสโมสรยังคงทำผลงานได้ดีเรื่อยมาคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 15 ของสโมสรในฤดูกาล 1983-84 เท่านั้นยังไม่พอเมื่อพลพรรคหงส์แดงได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพ โดยเป็นการพบกับคู่ปรับร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน ซึ่งถือเป็นเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้แมตช์นัดชิงครั้งแรกของทั้งสองทีม ผลจบลงด้วยการเสมอกันในนัดแรกต้องไปเตะกันใหม่ที่สนามของแมนฯซิตี้ โดย แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีมเอาชนะไป 1-0 พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ 3 สมัยติดลิเวอร์พูลเดินหน้าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ต่อด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปได้ เป็นสมัยที่ 4 ของสโมสรด้วยการยิงจุดโทษชนะ โรม่า ถึงกรุงโรม และนั่นเป็นครั้งแรกของสโมสรที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้ หลังจบฤดูกาล แกรม ซูเนสส์ ย้ายไปเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย กำลังหลักของทีมหลายคนเริ่มออกจากทีม ทำให้ผลงานในลีกไม่ดี ทุกคนจึงพุ่งเป้าไปที่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 แทนวั

นที่ 29 พฤษภาคม ปี 1985 ลิเวอร์พูล พบกับ ยูเวนตุส ในรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ที่กรุงบรัสเซลล์ บรรยากาศในสนามเริ่มรุนแรงขึ้นหนึ่งชั่วโมงก่อนเกมเริ่ม แฟนบอลทั้งสองฝั่งมีปากเสียงกันผ่านที่กั้นซึ่งทำด้วยลูกกรง และหลังจากที่มีการขว้างปาสิ่งของ แฟนลิเวอร์พูลบางคนเริ่มวิ่งเข้าใส่แฟนบอลของยูเวนตุส ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้น แฟนบอลยูเวนตุสพยายามหนี พวกเขาปีนขึ้นไปบนกำแพง และหลังจากนั้นแฟนบอล 39 คนเสียชีวิตจากการพลัดตกลงมา และกลายเป็นโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ผลการแข่งขันลิเวอร์พูล พ่ายไป 0-1จากลูกจุดโทษของ มิเชล พลาตินี่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหลังโศกนาฏกรรมที่เฮย์เซล โจ เฟแกน ประกาศลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม นี่ถือเป็นฝันร้ายในการสิ้นสุดอาชีพที่รุ่งเรืองกับทีมหงส์แดงเลยก็ว่าได้ เคนนี่ ดัลกลิช ขึ้นคุมทีมแทนในตำแหน่งผู้เล่นและผู้จัดการทีมควบคู่กัน

ลิ เวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาล 1985-86 ด้วยความโศกเศร้า เหตุการณ์ที่เฮย์เซลเมื่อสี่เดือนก่อนยังไม่จางไปจากแอนฟิลด์แต่นักเตะทุกคน ยังทำผลงานในลีกได้ดีพาทีมหงส์แดงเอาชนะแชมป์เก่าอย่างเอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 16 พร้อมทั้งคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกจากการเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ไป 3-1 แต่สโมสรก็ถูกยูฟ่าสั่งแบนจากการแข่งขันในเวทียุโรปปี1986-87 เอียน รัช อำลาทีมย้ายสู่สโมสรยูเวนตุสในอิตาลี สภาพของทีมดูย่ำแย่ลงนักเตะในทีมเริ่มมีแต่ดาวรุ่งตัวเก่าๆก็เริ่มที่จะ โรยราลง ทำให้ทีมไม่สามารถรักษาแชมป์เอาไว้ได้ ปี1987-88 ดัลกลิช เปลี่ยนนักเตะแบบยกชุดด้วยการหันไปคว้านักเตะอย่าง จอห์น อัลดริดจ์,จอห์น บารนส์, ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์,เรย์ เฮาจ์ตัน มาสู่ทีมบวกกับนักเตะจากทีมสำรองที่ถูดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่อย่าง สตีฟ แม็คมาน ทำให้ทีมลงตัวจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุด หลังจบฤดูกาล เอียน รัช ย้ายกลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง 15 เมษายน 1989 เกมตัดเชือกเอฟเอคัพ กับ น็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ ที่ฮิลส์โบโร่ สนามของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แฟนบอลลิเวอร์พูล 96คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์เบียดเสียดกันตายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งที่สอง
เหตุ การณ์ที่ฮิลส์โบโร่ห์มีผลกระทบต่อความรู้สึกของบรรดาเดอะ ค็อปมาก แต่สิ่งที่ได้รับจากกองเชียร์ นักเตะและสโมสร แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาทุกคนจึงรักสโมสรแห่งนี้ และแน่นอนแฟนบอลหงส์แดง 96 คนจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกในปี 1991 ทำให้สโมสรเรียกตัว แกรม ซูเนสส์ กลับมาสู่ทีมในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ ซูเนสส์ หันไปหานักเตะรุ่นใหม่ๆหมดไล่ตั้งแต่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์,สตีฟ แม็คมานามาน,เจมี่ เร็ดแนป์,ร็อบ โจนส์,เดวิด เจมส์ แต่น่าเสียดายที่ผลงานการคุมทีมไม่ดีอย่างที่หลายคนคาด คว้ามาได้เพียงแชมป์เอฟ เอคัพ ครั้งเดียวตลอดการคุมทีม 4 ปีสโมสรได้แต่งตั้ง รอย อีแวนส์ หนึ่งในสมาชิกของ "บูธรูม" อีกคน แต่ อีแวนส์ ก็ไม่สามารถพาลิเวอร์พูลกลับขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ ผลงานที่สามารถคว้ามาได้มีเพียงแชมป์ลีก คัพ ในปี 1994-95 เพียงรายการเดียว

ปี1998 สโมสรหันไปคว้าผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส เชราร์ อุลลิเย่ร์ มาคุมทีมร่วมกับ รอย อีแวนส์ และเพียงไม่นาน อีแวนส์ ก็ขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมร่วม ทำให้ เชราร์ อุลลิเย่ร์ รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่แทนทันที และหมดยุคของ "บูธรูม" ทันทีอุลลิเย่ร์ เรียก ฟิล ธอมป์สัน อดีตนักเตะลิเวอร์พูลมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และใช้เวลาสร้างทีมใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเตะต่างชาติ ซามี่ ฮูเปีย ,แพทริก แบร์เกอร์,วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์,ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ และนักเตะจากทีมเยาวชน ซึ่งต่อมาถือเป็นกำลังหลักของทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด,เจมี่ คาร์ราเกอร์และ ไมเคิ่ล โอเว่น ทีมทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วย แต่ผลงานในลีกกลับไม่สามารถทวงความยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตกลับมาสู่สโมสรได้

ปี 2000-01 อุลลิเย่ร์ พาทีมสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ,ลีกคัพ เป็นสมัยที่ 6 มาสู่สโมสร พร้อมทั้งสร้างผลงานในเวทียุโรป ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาครองหลังห่างหายไปนานกว่า 21 ปี ปี 2003 กุนซือชาวฝรั่งเศสพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ สมัยที่7 ให้กับสโมสรด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ 2-0 จากประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ สนามมิลเลเนี่ยม เมืองคาร์ดิฟฟ์ และนั่นคือผลงานสุดท้ายที่กุนซือชาวฝรั่งเศสทำให้ทีมเนื่องจาก
เชราร์ อุลลิเย่ร์ ไม่สามรถทำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ตามที่บอร์ดบริหารต้องการ

ปี 2004 สโมสรได้แต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ผู้นำทีมบาเลนเซียคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน มาสู่ทีมและเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่เจ้าตัวเข้ามาคุมทีม ราฟาก็ทำค่ำคืนที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูลได้ เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ยุโรปมาครอบครองได้เป็นสมัยที่5ของสโมสร หลังจากที่ตามหลัง เอซี มิลาน อยู่ 3-0 ในช่วงจบครึ่งแรก แต่สามารถกลับมาตีเสมอได้ในช่วงครึ่งหลัง 3-3 ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะไปได้ในช่วงของการดวลจุดโทษ

อ้างอิง : http://liverpoolsport.blogspot.com/2008/04/liverpool.html

Harry Potter

 เรื่องย่อ
เรื่องเริ่มต้นที่บ้านของลูเซียส มัลฟอย โดยลอร์ดโวลเดอมอร์ และสมุนจำนวนหนึ่ง วางแผนการเกี่ยวกับการย้ายออกจากบ้านเดอร์สลี่ย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เจ้าหน้าที่ของกระทรวงชื่อแยกซ์ลีย์ ระบุว่าแฮร์รี่จะย้ายออกในวันคล้ายวันเกิด ในขณะที่สเนประบุว่าแฮร์รี่จะย้ายออกก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ โวลเดอมอร์ยืมไม้กายสิทธิ์ของมัลฟอย จากการที่ไม้กายสิทธิ์ของเขาเองใช้ไม่ได้ผลกับแฮร์รี่
ภาคีนกฟีนิกซ์ส่งพ่อมดมาคุ้มครองครอบครัวเดอร์สลีย์ ในขณะที่กองกำลังอีกส่วนหนึ่งมาพาตัวแฮร์รี่ออกไป โดยวางแผนให้คนอีกหกคนเป็นนกต่อ ใช้น้ำยาสรรพรสแปลง ตัวเป็นแฮร์รี่กระจายไปยังที่ซ่อนต่างๆกัน แต่แฮร์รี่ยังคงถูกสมุนโวลเดอมอร์ระบุตัวได้จากการใช้คาถาปลดอาวุธที่เขาใช้ เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่ยังคงชนะไม้ที่ยืมมาของโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ไปถึงบ้านโพรงกระต่ายอย่างปลอดภัย แต่เฮ็ดวิกต้องตายจากการปะทะกัน และพบว่าจอร์จ วีสลีย์เสียหูไปข้างหนึ่งด้วยคาถาของสเนป และอลาสเตอร์ มูดดี้ถูกโวลเดอมอร์ฆ่า
สองสามวันต่อมา รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์มาที่บ้านโพรงกระต่าย เพื่อนำของตามพินัยกรรมของดัมเบิลดอร์มาให้แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ รอนได้รับ "ดีลูมิเนเตอร์" หรือ "ที่ดับไฟ" ของดัมเบิลดอร์ เฮอร์ไมโอนี่ได้รับหนังสือ "นิทานของบีเดิลยอดกวี"เป็น ภาษารูนโบราณ ส่วนแฮร์รี่ได้รับลูกสนิชลูกแรกที่แฮร์รี่จับได้ และดาบของกริฟฟินดอร์ อย่างไรก็ตามกระทรวงไม่ยอมมอบดาบให้แก่แฮร์รี่
ในระหว่างงานแต่งงานของบิล วีสลีย์ และเฟลอร์ เดอลากูร์ มีข่าวมาว่าโวลเดอมอร์ได้เข้าควบคุมกระทรวงเวทมนตร์เป็นผลสำเร็จ และผู้เสพความตายได้เข้าโจมตีอีกครั้ง แฮร์รี่และเพื่อนทั้งสองหายตัวหนีไปยังบาร์ของมักเกิ้ลแห่ง หนึ่ง แต่ก็ถูกตามพบอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสามหนีรอดไปได้อีก จากนั้นจึงหนีไปยังบ้านเลขที่ 12 กริมโมลด์เพลซ ซึ่งได้ค้นพบว่า ร.อ.บ. คือเรกูลัส แบล็ก น้องของซิเรียส และล็อกเก็ตของจริงซึ่งแฮร์รี่ตามหานั้น ไปตกอยู่ในความครอบครองของโดโลเรส อัมบริดจ์
กลุ่มของแฮร์รี่สามารถบุกเข้าไปในกระทรวง และนำล็อกเก็ตมาได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ที่ซ่อนที่กริมโมลด์เพลซถูกค้นพบ ทั้งสามจึงต้องเร่ร่อนตามชนบทโดยเปลี่ยนที่พักแรมไปเรื่อยๆ และต่อมาได้ทราบโดยบังเอิญว่าดาบกริฟฟินดอร์ที่เคยเห็นเป็นดาบปลอมทำเลียน แบบ ส่วนดาบจริงนั้นหายไป ระหว่างนั้น รอนได้ทะเลาะกับแฮร์รี่ และแยกตัวจากไป แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ไปยังก็อดดริกฮอลโล่ เพื่อตามหาดาบ แต่กลับถูกนากินี งูของโวลเดอมอร์ทำร้าย และไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่เสียหายโดยไม่อาจซ่อมได้ หลังจากนั้นไม่นาน มีผู้พิทักษ์รูปกวาง ตัวเมียปรากฏตัวบริเวณค่ายพักที่แฮร์รี่อยู่ และกวางได้นำแฮร์รี่ไปพบดาบกริฟฟินดอร์ซึ่งซ่อนอยู่ในบึงน้ำแข็ง รอนกลับมาช่วยแฮร์รี่ในการนำดาบขึ้นมา และทำลายล็อกเก็ตซึ่งเป็นฮอร์ครักซ์อัน แรก ทั้งสามไปยังบ้านของครอบครัวเลิฟกู๊ด และได้รู้เรื่อง "เครื่องรางยมทูต" สามอย่าง ได้แก่ ไม้กายสิทธิ์ที่ทำจากไม้เอลเดอร์ ซึ่งทำให้ชนะการต่อสู้ หินชุบวิญญาณ ที่สามารถเรียกคนตายกลับมา และผ้าคลุมล่องหนที่ไม่เสื่อมตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม พ่อของลูน่าแจ้งกระทรวงเรื่องแฮร์รี่ โดยหวังแลกกับลูน่าที่ถูกจับไปก่อนหน้า พวกของแฮร์รี่หนีรอดได้อีกครั้ง
พวกของแฮร์รี่ถูกนักล่าค่าหัวจับได้ หลังจากแฮร์รี่เผลอเอ่ยชื่อโวลเดอมอร์ เพราะมีการเสกคาถาให้เป็นคำต้องห้ามและบุคคลที่พูดคำนี้จะถูกระบุตัวได้ ทันที พวกนักล่านำแฮร์รี่และเพื่อน รวมทั้งดีน โทมัส และก็อบลินชื่อ กริ๊บฮุกที่ถูกจับอยู่ด้วยไปยังบ้านมัลฟอย ที่นั้น พวกเขาได้พบกับโอลิแวนเดอร์ ช่างทำไม้กายสิทธิ์ และลูน่า เลิฟกู๊ด ทั้งหมดหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของด็อบบี้ เอลฟ์ที่เคยอยู่กับมัลฟอย แต่ดอบบี้ถูกเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ฆ่าตาย พวกเขาหนีไปอยู่ที่บ้านของบิลและเฟลอร์
ทั้งสามบุกเข้าไปในธนาคารกริงกอตส์ด้วยความช่วยเหลือของก็อบลิน และขโมยถ้วยฮัฟเฟิลพัฟออกมาจากห้องนิรภัยของเลสแตรงจ์ โวลเดอมอร์ทราบข่าวการขโมยนี้ จึงทราบในที่สุดว่าพวกแฮร์รี่กำลังตามหาฮอร์ครักซ์ แฮร์รี่ได้รับรู้ความคิดของโวลเดอมอร์อีกครั้ง ขณะที่เขากำลังลำดับที่ตั้งของฮอร์ครักซ์ทั้งหมด ทำให้แฮร์รี่ได้รู้ว่าฮอร์ครักซ์อันสุดท้ายที่ตนยังไม่ทราบว่าเป็นอะไรนั้น อยู่ในฮอกวอตส์นั่นเอง พวกเขากลับเข้าไปในฮอกวอตส์ด้วยความช่วยเหลือของอาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์ น้องชายของอัลบัส
แฮร์รี่แจ้งเตือนการมาของโวลเดอมอร์แก่อาจารย์ และพบฮอร์ครักซ์ซึ่งเป็นรัดเกล้าของเรเวนคลอในห้องต้องประสงค์ หลังจากนั้นพวกของแฮร์รี่ได้ไปยังเพิงโหยหวน และเห็นโวลเดอมอร์ฆ่าสเนป ด้วยความเชื่อว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ที่เคยเป็นของดัมเบิลดอร์อย่างสมบูรณ์ ก่อนตาย สเนปมอบความทรงจำแก่แฮร์รี่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ฝ่ายดัมเบิลดอร์ ด้วยความรักที่มีต่อลิลี่ แม่ของแฮร์รี่ นอกจากนี้ แฮร์รี่ยังค้นพบว่า วิญญาณส่วนหนึ่งของโวลเดอมอร์อยู่ในตัวของเขาเอง และโวลเดอมอร์ไม่สามารถตายได้หากเขายังมีชีวิตอยู่ แฮร์รี่จึงนำตัวเองไปพบกับโวลเดอมอร์ และต่อสู้กับคาถาพิฆาต
แฮร์รี่ตื่นขึ้นมาและพบกับดัมเบิลดอร์ ซึ่งอธิบายว่าเขาไม่สามารถตายโดยที่โวลเดอมอร์ยังอยู่ เพราะโวลเดอมอร์สร้างร่างขึ้นมาจากเลือดของ แฮร์รี่ แฮร์รี่เป็นเจ้าของอันชอบธรรมของเครื่องรางยมทูต คาถาพิฆาตได้ทำลายวิญญาณของโวลเดอมอร์ในตัวแฮร์รี่ และแฮร์รี่สามารถเลือกที่จะไปต่อ หรือกลับไปเพื่อสู้กับโวลเดอมอร์อีกครั้ง แฮร์รี่กลับไป และได้สู้กับโวลเดอมอร์อีกครั้งหนึ่ง แฮร์รี่ยังรู้ด้วยว่านายของไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ที่แท้จริงไม่ใช่สเนป แต่เป็นเดรโก มัลฟอย ซึ่งเขาเอาชนะมาได้ ในที่สุดโวลเดอมอร์ก็สิ้นชีพด้วยคำสาปพิฆาตของตัวเองที่สะท้อนกลับ
เรื่องจบลงด้วยฉากในอีก 19 ปีต่อมา แฮร์รี่แต่งงานกับจินนี่ และมีลูกด้วยกันสามคน คือ เจมส์,อัลบัส เซเวอรัส,ลิลี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี่ก็แต่งงานกัน มีลูก 2คน คือ ฮิวโก้,โรส ทั้งสองครอบครัวพบกันที่สถานีรถไฟ ขณะไปส่งลูกๆ ไปยังฮอกวอตส์ แฮร์รี่ไม่เคยเจ็บแผลเป็นอีกเลยหลังจากลอร์ดโวลเดอมอร์พ่ายแพ้


อ้างอิง(http://th.wikipedia.org/wiki/)